จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แค่คิดไปเอง หรือเรื่องจริงอิงนิยาย


เวที “ประชาเสวนา” เพื่อปรองดอง 
หรือแค่ภาพลวงตา
            
    คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชนดำเนินการจัดทำเวที “ประชาเสวนา”แบ่งเป็นระดับตำบล/ชุมชน และระดับจังหวัด ในกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัดทั่วไทย  เพื่อค้นหาข้อคิดเห็นในภาพรวมว่า

          ความขัดแย้งของคนไทยเกิดจากสาเหตุใด และมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการการแก้ไขอย่างไร
         
          จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลความคิดเห็นส่งให้ สถาบันราชภัฎสวนดุสิต ประมวลเป็นภาพรวมของแต่ละจังหวัด
          
         โดยในกรุงเทพมหานครกำหนดให้จัดเวทีให้แล้วเสร็จภายใน 21 พฤษภาคม 2555
       
         ส่วนในภูมิภาคที่เหลืออีก 76 จังหวัด ให้ประธานศูนย์ประสานงานองค์การชุมชนจังหวัด ร่วมกับประธานชมรมหรือนายกสมาคม ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนทุกจังหวัด ร่วมกันจัดเวทีประชาเสวนาระดับจังหวัด ระหว่าง 5-19 มิถุนายน 2555 และนำส่งรายงานให้กรมการพัฒนาชุมชนภายใน 20 มิถุนายน

          ในการจัดทำเวทีประชาเสวนาเน้นให้มีการประสานและสนับสนุนให้ “ประชาชน”ในทุกหมู่บ้านได้มีส่วนร่วม สร้างสรรค์ และค้นหาสาเหตุของความขัดแย้ง และแนวทางการแก้ไข เพื่อการสร้างความปรองดอง มิให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในสังคมไทย

          ฟังดูแล้วเหมือนดีไปหมด การจัดเวทีจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความพร้อมที่จะมาประชุมให้ความคิดเห็น ให้การร่วมมือเป็นอย่างดี   กระทรวงมหาดไทยจึงเร่งกำหนดการจัดเวทีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 14-15 วัน

          แต่ในความเป็นจริง ในสถานการณ์จริงจะบรรลุวัตถุประสงค์ เป็นไปตามหลักการและความคาดหวังที่ คอป.และกระทรวงมหาดไทยวางไว้จริงหรือ ?

       ประการหนึ่ง ที่พึงควรนำมาใคร่ครวญอย่างมากใน หลักการมีส่วนร่วม และการดำเนินการ คือ กระบวนการสร้างความตระหนักและการรับรู้ของประชาชน(ทั่วไป) และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ในการจัดทำเวทีประชาเสวนามีมากน้อยเพียงไร

          ถ้าการดำเนินการมีอยู่น้อย หรือไม่มีกระบวนการดังกล่าวอยู่เลยแม้แต่น้อย คำถามก็คือ ข้อมูลความคิดเห็นที่ได้จากเวทีประชาเสวนา มีความน่าเชื่อถือในเชิงเหตุผล และวิธีการมากน้อยเพียงไร หรือ ไม่มีอยู่เลย

          พูดให้ชัดก็หมายความว่า ข้อมูลจากเวทีประชาเสวนา ไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่น่าจะนำไปสู่แนวทางในการสร้างความปรองดองในสังคมไทยให้เป็นจริงได้

         เหตุเพราะความขัดแย้ง และการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกระดับบุคคล ในชุมชน /ตำบลเท่านั้น

          หากแต่เป็นเรื่องปัจจัยแวดล้อม เรื่องของเจตนิยมและผลประโยชน์ทางการเมืองที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเหมือนเข็มซ่อนพราย ถูกกระตุ้น ปลุกเร้าให้ตื่นตัวหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ และวัตถุประสงค์ของกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลอยู่เหนือความรู้สึกได้ตลอดเวลา

          กรณีที่น่าศึกษา คือ ภาพความวุ่นวาย เสียดสีด่าทอ ไร้เหตุผลของผู้แทนปวงชนในการประชุมรัฐสภาและการใช้กฎหมู่ ข่มขู่ ข่มขวัญ “ตั๊ก-บงกช” หลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอากง และการต่อต้านการเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่จังหวัดภูเก็ตและสงขลา ซึ่งล้วนเป็นการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน

การควาน หรือ คลำหาเหตุผล โดยขาดกระบวนการสร้างความตระหนักและรับรู้ข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็น จากเวทีประชาเสวนา จึงไม่น่าจะเกิดผลที่นำไปใช้สร้างสรรค์สังคมแห่งการปรองดองได้จริง

           อีกประการหนึ่ง ที่พึงพิจารณาในหลักการสร้างสรรค์ คือ  การให้ความสำคัญกับการตกผลึกในสาเหตุและแนวทางการแก้ไขความขัดแย้ง หรือการสร้างความปรองดอง ในระดับหมู่บ้าน ชุมชน/ตำบล มากกว่าการสรุปภาพรวมระดับจังหวัด

       ความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิด เป็นความงดงามของความเป็นประชาธิปไตยก็จริงอยู่ 

          แต่กระบวนการสร้างสรรค์ให้ ความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดอง ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ในทำนอง “เป้าหมายเดียวกัน แต่หลากหลายวิธีคิด วิธีปฏิบัติ” สำคัญยิ่งกว่า

          เหตุเพราะข้อเท็จจริงประการหนึ่งของความขัดแย้งลุกลามเข้าไปในครอบครัว ในหมู่บ้าน ชุมชน ที่มีความหลากหลายแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อและข้อมูลความรู้ 

          ในครอบครัวเดียวกันยังคิดเห็นไม่เหมือนกัน ขัดแย้งกัน ทะเลาะเบาะแว้ง ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา แล้วเราจะเอานิยายอะไรกับข้อสรุปภาพรวมในระดับจังหวัด ถ้าหากเวทีประชาเสวนาก้าวข้ามความสำคัญและการให้ความสนใจกับความหลากหลายและการตกผลึกทางความคิดร่วมกันของประชาชนผู้เข้าร่วมเวทีเสวนา

          กล่าวคือ อย่าหยิบเบี้ยใกล้มือ ไม่ใช่เลือกเอาเฉพาะกลุ่มที่รู้จัก หรือพวกใครพวกมันมาร่วมเวที

          แต่ต้องให้หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่ม อาชีพ ศาสนา-ความเชื่อ  วัฒนธรรม ประเพณี ในพื้นที่ของหมู่บ้าน และชุมชน

       สามารถเป็นตัวแทนของปัญหา และมีเวลาในการรับฟัง พูดคุยถึงสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อสร้างความปรองดองมากพอสมควร

          เรื่องไหนประเด็นใดที่เวทีมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกัน ควรจะมีเวลาในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำมาปรึกษาหารือซ้ำในเวทีจนได้ข้อยุติที่เห็นพ้องต้องกันจริงๆ

          ไม่ใช่ทำกันลวกๆ ขอเพียงให้ผ่านๆไป จัดเอง คิดเอง เออเอง สรุปเอง

          สุดท้ายความขัดแย้งยังคงอยู่ หรือไม่ก็ยิ่งบานปลาย แต่งบประมาณถูกละลายแม่น้ำหมดไปแล้ว ได้ประโยชน์ไม่คุ้มทุน

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดีชั่วอยู่ที่ตัวกับใจ


เที่ยวนาปู “ชะโงกดูใจ” ที่แพรกหนามแดง

          เป็นความบังเอิญผนวกกับความโชคดีของผมที่ครอบครัวของคุณวิเลิศ กิจเจริญ เจ้าของกิจการ “กิจเจริญฟาร์ม” ที่เพิ่งขยายธุรกิจไปลงทุนเลี้ยงปูทะเล ร่วมกับครอบครัวของคุณสมชวน คำวงษ์ เจ้าของนาปูและกุ้งกว่า 500 ไร่ในย่านติดกับเขต ตำบลยี่สาร และอบต.แพรกหนามแดง  อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ออกปากชวนให้ไปเที่ยวชมนาปูดูนากุ้ง ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ทำประมงแบบธรรมชาติ และแบบพัฒนา ซึ่งที่นี่มีให้ดูทั้งสองอย่าง

        คุณสมชวน เล่าว่าคุณแม่ของท่านเป็นคนพื้นนี้ แต่ตัวคุณสมชวนเองไปเกิดที่บ้านบางตาล อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อโตเข้าสู่วัยรุ่นจึงยึดอาชีพประมงเป็นหลักในการสร้างครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 40 ปี โดยมี คุณปรียา คำวงษ์ และลูกๆเป็นทั้งกำลังใจและกำลังสนับสนุนในการทำนาปูนากุ้ง

        ผมรู้สึกชอบที่ครอบครัวคุณสมชวน และคุณวิเลิศ เลือกที่จะทำนาปูและกุ้งแบบธรรมชาติ อาศัยวิถีธรรมชาติ เรียนรู้ธรรมชาติ น้ำขึ้นน้ำลงน้ำเกิดน้ำตาย ที่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของดวงจันทร์ ปล่อยน้ำเข้าและออกจากนา เพื่อหล่อเลี้ยงและดักจับปูกุ้งที่เจริญเติบโตเต็มที่ส่งไปจำหน่ายให้พ่อค้าแม่ขายและผู้บริโภค เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่อย่างนี้

        โดยไม่เคยทำให้ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเสียหายไปแม้แต่น้อย

        ในทางกลับกันกลับทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น เพราะพันธุ์ปูและกุ้งนั้น คุณสมชวนเล่าว่าจำเป็นต้องซื้อปูขนาด 15-30 ตัว(กิ)โล ที่มาจากจังหวัดชุมพร ระนอง เพื่อเพิ่มปริมาณให้พอขายแล้วสามารถยังชีพเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้ มีเหลือมีเก็บบ้าง พอได้ทำบุญทำทาน และสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงได้

        อันนี้ฟังดูแล้วเข้าทำนองพออยู่พอกิน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นะครับ

       ซึ่งผมฟังแล้ว ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะเท่าที่ได้รู้จักมักคุ้นกันมา 3-4 ปี ผมเห็นครอบครัวคุณสมชวน ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ความเป็นเพื่อน ความรักและความโอบอ้อมอารี เป็นกัลยาณมิตร ดูแลช่วยเหลือแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะงานของพระศาสนจักร และการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ รวมถึงการนำอาหารไปร่วมจัดเลี้ยงในงานฉลองวัดคาทอลิกในเขตจังหวัดต่างๆทั้งใกล้และไกลก็ทำอย่างสม่ำเสมอ

        แต่ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกดีมากๆก็คือ ความสัมพันธ์ที่ดีและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ระหว่างครอบครัวพี่น้องมุสลิม กับครอบครัวคุณสมชวน และพี่น้องชาวพุทธที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกัน

          การสละความเห็นแก่ตัวออกไป ทำให้ทุกคนทุกศาสนาสามารถแสดงความรัก ความเอื้ออาทรต่อกัน ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน ได้อย่างจริงใจ หากจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในบางเวลา

         ชุมชนและสังคมที่เอื้ออาทรกันอย่างนี้ไม่ใช่หรือครับที่สังคมโลก และสังคมไทยกำลังแสวงหา โดยเฉพาะสังคมการเมือง ที่มักเชือดเฉือนและมุ่งทำร้ายทำลายกันด้วยความเกลียดชัง

       เป็นสังคมที่มุ่งสั่งสมความโลภ โกรธ หลง ความอยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง อยากได้มากกว่าอยากให้ จนเป็นสังคมที่ไร้สุข แต่กลับอุดมด้วยทุกข์และปัญหาสารพัดติดตามมา

        ไม่แตกต่างไปจากการทำนาปูนากุ้ง แบบที่มุ่งแต่กำไร แต่ทำลายทุกอย่างทั้งน้ำดิน พืช สัตว์ ระบบนิเวศ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ซึ่งในที่สุดความเลวร้ายเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาทำลายชีวิตและความสุขของมนุษย์เอง

       ไม่แตกต่างไปจากระบอบประชาธิปไตย ที่ยึดตัวบุคคลมากกว่าหลักคุณธรรม ยึดความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง ใช้เสียงข้างมากทำลายความชอบธรรมของเสียงข้างน้อย นิยมการใช้อำนาจข่มขู่ มากกว่าการให้ความรัก ความมุ่งปรารถนาดีต่อกัน

        ในที่สุดก็แพ้ภัยตนเอง พากันล่มจมไปทั้งชาติ ถ้ายังจมอยู่ในความเห็นแก่ตัว

        จะดีจะชั่วความจริงอยู่ที่ตัวเราใจเราทุกคนนี่แหละครับ
        ไม่เชื่อลองสำรวจดูสิครับ