เวที “ประชาเสวนา” เพื่อปรองดอง
หรือแค่ภาพลวงตา
คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)มีมติเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงมหาดไทย
โดยกรมการพัฒนาชุมชนดำเนินการจัดทำเวที “ประชาเสวนา”แบ่งเป็นระดับตำบล/ชุมชน
และระดับจังหวัด ในกรุงเทพมหานครและ 76 จังหวัดทั่วไทย
เพื่อค้นหาข้อคิดเห็นในภาพรวมว่า
ความขัดแย้งของคนไทยเกิดจากสาเหตุใด
และมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการการแก้ไขอย่างไร
จากนั้นก็รวบรวมข้อมูลความคิดเห็นส่งให้
สถาบันราชภัฎสวนดุสิต ประมวลเป็นภาพรวมของแต่ละจังหวัด
โดยในกรุงเทพมหานครกำหนดให้จัดเวทีให้แล้วเสร็จภายใน
21 พฤษภาคม 2555
ส่วนในภูมิภาคที่เหลืออีก 76 จังหวัด ให้ประธานศูนย์ประสานงานองค์การชุมชนจังหวัด
ร่วมกับประธานชมรมหรือนายกสมาคม ผู้นำอาสาพัฒนาชุมชนทุกจังหวัด ร่วมกันจัดเวทีประชาเสวนาระดับจังหวัด
ระหว่าง 5-19 มิถุนายน 2555
และนำส่งรายงานให้กรมการพัฒนาชุมชนภายใน 20 มิถุนายน
ในการจัดทำเวทีประชาเสวนาเน้นให้มีการประสานและสนับสนุนให้ “ประชาชน”ในทุกหมู่บ้านได้มีส่วนร่วม
สร้างสรรค์ และค้นหาสาเหตุของความขัดแย้ง และแนวทางการแก้ไข
เพื่อการสร้างความปรองดอง มิให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีกในสังคมไทย
ฟังดูแล้วเหมือนดีไปหมด
การจัดเวทีจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความพร้อมที่จะมาประชุมให้ความคิดเห็น
ให้การร่วมมือเป็นอย่างดี กระทรวงมหาดไทยจึงเร่งกำหนดการจัดเวทีให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา
14-15 วัน
แต่ในความเป็นจริง
ในสถานการณ์จริงจะบรรลุวัตถุประสงค์ เป็นไปตามหลักการและความคาดหวังที่
คอป.และกระทรวงมหาดไทยวางไว้จริงหรือ ?
ประการหนึ่ง ที่พึงควรนำมาใคร่ครวญอย่างมากใน หลักการมีส่วนร่วม
และการดำเนินการ คือ กระบวนการสร้างความตระหนักและการรับรู้ของประชาชน(ทั่วไป)
และประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ในการจัดทำเวทีประชาเสวนามีมากน้อยเพียงไร
ถ้าการดำเนินการมีอยู่น้อย
หรือไม่มีกระบวนการดังกล่าวอยู่เลยแม้แต่น้อย คำถามก็คือ
ข้อมูลความคิดเห็นที่ได้จากเวทีประชาเสวนา มีความน่าเชื่อถือในเชิงเหตุผล
และวิธีการมากน้อยเพียงไร หรือ ไม่มีอยู่เลย
พูดให้ชัดก็หมายความว่า ข้อมูลจากเวทีประชาเสวนา
ไม่มีความน่าเชื่อถือ
และไม่น่าจะนำไปสู่แนวทางในการสร้างความปรองดองในสังคมไทยให้เป็นจริงได้
เหตุเพราะความขัดแย้ง
และการแก้ไขความขัดแย้งในสังคมไทยปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกระดับบุคคล
ในชุมชน /ตำบลเท่านั้น
หากแต่เป็นเรื่องปัจจัยแวดล้อม
เรื่องของเจตนิยมและผลประโยชน์ทางการเมืองที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนเหมือนเข็มซ่อนพราย ถูกกระตุ้น ปลุกเร้าให้ตื่นตัวหรือเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
และวัตถุประสงค์ของกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลอยู่เหนือความรู้สึกได้ตลอดเวลา
กรณีที่น่าศึกษา
คือ ภาพความวุ่นวาย เสียดสีด่าทอ ไร้เหตุผลของผู้แทนปวงชนในการประชุมรัฐสภาและการใช้กฎหมู่
ข่มขู่ ข่มขวัญ “ตั๊ก-บงกช”
หลังแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอากง และการต่อต้านการเปิดหมู่บ้านคนเสื้อแดงที่จังหวัดภูเก็ตและสงขลา
ซึ่งล้วนเป็นการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาที่เห็นได้ชัดเจน
การควาน หรือ คลำหาเหตุผล
โดยขาดกระบวนการสร้างความตระหนักและรับรู้ข้อเท็จจริงที่ควรจะเป็น จากเวทีประชาเสวนา
จึงไม่น่าจะเกิดผลที่นำไปใช้สร้างสรรค์สังคมแห่งการปรองดองได้จริง
อีกประการหนึ่ง ที่พึงพิจารณาในหลักการสร้างสรรค์ คือ การให้ความสำคัญกับการตกผลึกในสาเหตุและแนวทางการแก้ไขความขัดแย้ง
หรือการสร้างความปรองดอง ในระดับหมู่บ้าน ชุมชน/ตำบล
มากกว่าการสรุปภาพรวมระดับจังหวัด
ความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิด เป็นความงดงามของความเป็นประชาธิปไตยก็จริงอยู่
แต่กระบวนการสร้างสรรค์ให้
ความหลากหลายและความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเพื่อสร้างความปรองดอง
ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ในทำนอง “เป้าหมายเดียวกัน แต่หลากหลายวิธีคิด
วิธีปฏิบัติ” สำคัญยิ่งกว่า
เหตุเพราะข้อเท็จจริงประการหนึ่งของความขัดแย้งลุกลามเข้าไปในครอบครัว
ในหมู่บ้าน ชุมชน ที่มีความหลากหลายแตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ศาสนา อาชีพ วัฒนธรรม
ประเพณี ความเชื่อและข้อมูลความรู้
ในครอบครัวเดียวกันยังคิดเห็นไม่เหมือนกัน
ขัดแย้งกัน ทะเลาะเบาะแว้ง ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา
แล้วเราจะเอานิยายอะไรกับข้อสรุปภาพรวมในระดับจังหวัด
ถ้าหากเวทีประชาเสวนาก้าวข้ามความสำคัญและการให้ความสนใจกับความหลากหลายและการตกผลึกทางความคิดร่วมกันของประชาชนผู้เข้าร่วมเวทีเสวนา
กล่าวคือ
อย่าหยิบเบี้ยใกล้มือ ไม่ใช่เลือกเอาเฉพาะกลุ่มที่รู้จัก
หรือพวกใครพวกมันมาร่วมเวที
แต่ต้องให้หลากหลายครอบคลุมทุกกลุ่ม
อาชีพ ศาสนา-ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี
ในพื้นที่ของหมู่บ้าน และชุมชน
สามารถเป็นตัวแทนของปัญหา และมีเวลาในการรับฟัง
พูดคุยถึงสาเหตุและแนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพื่อสร้างความปรองดองมากพอสมควร
เรื่องไหนประเด็นใดที่เวทีมีความคิดเห็นที่แตกต่าง
ยังไม่ได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องกัน ควรจะมีเวลาในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และนำมาปรึกษาหารือซ้ำในเวทีจนได้ข้อยุติที่เห็นพ้องต้องกันจริงๆ
ไม่ใช่ทำกันลวกๆ
ขอเพียงให้ผ่านๆไป จัดเอง คิดเอง เออเอง สรุปเอง
สุดท้ายความขัดแย้งยังคงอยู่
หรือไม่ก็ยิ่งบานปลาย แต่งบประมาณถูกละลายแม่น้ำหมดไปแล้ว ได้ประโยชน์ไม่คุ้มทุน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น