เที่ยวนาปู “ชะโงกดูใจ” ที่แพรกหนามแดง
เป็นความบังเอิญผนวกกับความโชคดีของผมที่ครอบครัวของคุณวิเลิศ
กิจเจริญ เจ้าของกิจการ “กิจเจริญฟาร์ม” ที่เพิ่งขยายธุรกิจไปลงทุนเลี้ยงปูทะเล
ร่วมกับครอบครัวของคุณสมชวน คำวงษ์ เจ้าของนาปูและกุ้งกว่า 500 ไร่ในย่านติดกับเขต ตำบลยี่สาร และอบต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ออกปากชวนให้ไปเที่ยวชมนาปูดูนากุ้ง
ศึกษาวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ทำประมงแบบธรรมชาติ และแบบพัฒนา
ซึ่งที่นี่มีให้ดูทั้งสองอย่าง
คุณสมชวน
เล่าว่าคุณแม่ของท่านเป็นคนพื้นนี้ แต่ตัวคุณสมชวนเองไปเกิดที่บ้านบางตาล
อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี เมื่อโตเข้าสู่วัยรุ่นจึงยึดอาชีพประมงเป็นหลักในการสร้างครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน
นับเป็นเวลากว่า 40 ปี โดยมี คุณปรียา คำวงษ์ และลูกๆเป็นทั้งกำลังใจและกำลังสนับสนุนในการทำนาปูนากุ้ง
ผมรู้สึกชอบที่ครอบครัวคุณสมชวน
และคุณวิเลิศ เลือกที่จะทำนาปูและกุ้งแบบธรรมชาติ อาศัยวิถีธรรมชาติ
เรียนรู้ธรรมชาติ น้ำขึ้นน้ำลงน้ำเกิดน้ำตาย ที่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของดวงจันทร์
ปล่อยน้ำเข้าและออกจากนา เพื่อหล่อเลี้ยงและดักจับปูกุ้งที่เจริญเติบโตเต็มที่ส่งไปจำหน่ายให้พ่อค้าแม่ขายและผู้บริโภค
เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่อย่างนี้
โดยไม่เคยทำให้ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเสียหายไปแม้แต่น้อย
ในทางกลับกันกลับทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น
เพราะพันธุ์ปูและกุ้งนั้น คุณสมชวนเล่าว่าจำเป็นต้องซื้อปูขนาด 15-30
ตัว(กิ)โล ที่มาจากจังหวัดชุมพร ระนอง เพื่อเพิ่มปริมาณให้พอขายแล้วสามารถยังชีพเลี้ยงครอบครัวอยู่ได้
มีเหลือมีเก็บบ้าง พอได้ทำบุญทำทาน และสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงได้
อันนี้ฟังดูแล้วเข้าทำนองพออยู่พอกิน
ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นะครับ
ซึ่งผมฟังแล้ว ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
เพราะเท่าที่ได้รู้จักมักคุ้นกันมา 3-4 ปี
ผมเห็นครอบครัวคุณสมชวน ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ความเป็นเพื่อน
ความรักและความโอบอ้อมอารี เป็นกัลยาณมิตร ดูแลช่วยเหลือแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน หรือเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะงานของพระศาสนจักร
และการไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ รวมถึงการนำอาหารไปร่วมจัดเลี้ยงในงานฉลองวัดคาทอลิกในเขตจังหวัดต่างๆทั้งใกล้และไกลก็ทำอย่างสม่ำเสมอ
แต่ที่ผมเห็นแล้วรู้สึกดีมากๆก็คือ
ความสัมพันธ์ที่ดีและการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ระหว่างครอบครัวพี่น้องมุสลิม กับครอบครัวคุณสมชวน
และพี่น้องชาวพุทธที่อาศัยทำมาหากินอยู่ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกัน
การสละความเห็นแก่ตัวออกไป
ทำให้ทุกคนทุกศาสนาสามารถแสดงความรัก ความเอื้ออาทรต่อกัน
ให้อภัยไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน ได้อย่างจริงใจ
หากจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างในบางเวลา
ชุมชนและสังคมที่เอื้ออาทรกันอย่างนี้ไม่ใช่หรือครับที่สังคมโลก
และสังคมไทยกำลังแสวงหา โดยเฉพาะสังคมการเมือง
ที่มักเชือดเฉือนและมุ่งทำร้ายทำลายกันด้วยความเกลียดชัง
เป็นสังคมที่มุ่งสั่งสมความโลภ โกรธ หลง
ความอยากมีอยากเป็นอยากเด่นอยากดัง อยากได้มากกว่าอยากให้ จนเป็นสังคมที่ไร้สุข
แต่กลับอุดมด้วยทุกข์และปัญหาสารพัดติดตามมา
ไม่แตกต่างไปจากการทำนาปูนากุ้ง
แบบที่มุ่งแต่กำไร แต่ทำลายทุกอย่างทั้งน้ำดิน พืช สัตว์ ระบบนิเวศ
ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
ซึ่งในที่สุดความเลวร้ายเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาทำลายชีวิตและความสุขของมนุษย์เอง
ไม่แตกต่างไปจากระบอบประชาธิปไตย
ที่ยึดตัวบุคคลมากกว่าหลักคุณธรรม ยึดความถูกใจมากกว่าความถูกต้อง
ใช้เสียงข้างมากทำลายความชอบธรรมของเสียงข้างน้อย นิยมการใช้อำนาจข่มขู่
มากกว่าการให้ความรัก ความมุ่งปรารถนาดีต่อกัน
ในที่สุดก็แพ้ภัยตนเอง
พากันล่มจมไปทั้งชาติ ถ้ายังจมอยู่ในความเห็นแก่ตัว
จะดีจะชั่วความจริงอยู่ที่ตัวเราใจเราทุกคนนี่แหละครับ
ไม่เชื่อลองสำรวจดูสิครับ
ดีมากเลย เห็นด้วย คนดีเราควรเผยแพร่ เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างสำหรับบุึคคลที่สนใจ พระสร้างธรรมชาติให้กับมนุษย์เพื่อจะได้เกื้อกูลกัน ทุกวันนี้เราไช้ธรรมชาติที่เราได้มาฟรีๆนั้นอย่างไร
ตอบลบ