ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ
คนจำนวนมากในโลกนี้รู้จัก ยอห์น. ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์ ในฐานะ
“ผู้ให้”ผู้เปลี่ยนเงินเป็นบุญ
เปลี่ยนทุนเป็นธรรม
ร็อคกี้เฟลเลอร์ บริจาคเงินหลายล้านเหรียญ เพื่อสร้างสันติสุขในโลกนี้
เขาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปราบพยาธิปากขอจนหมดไปจากภาคใต้ของสหรัฐ
อเมริกา
เขาได้ตั้งมูลนิธิอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก
นั่นคือ “รอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ”
ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อความสุขสวัสดีของมนุษยชาติ
มูลนิธินี้ได้ให้ทุนเพื่อการศึกษาค้นคว้าสิ่งต่างๆ
มากมาย ทั้งในวงการศึกษาและวงการแพทย์
เงินบริจาคหลายล้านเหรียญของเขา
ก่อให้เกิดมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก เพื่อช่วยเหลือการศึกษาของชาวนิโกร
ยารักษาโรคหลายชนิด เช่น เพนนิซิลิน, ยา ในการรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก็เป็นผลงานของรอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ
นอกจากนี้ รอคกี้เฟลเลอร์ยังร่วมบริจาคในการต่อสู้ทำลายโรคมาเลเรีย
วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ โรคคอตีบ และโรคอื่นๆ อีกมาก ซึ่งระบาดอยู่ทั่วโลก
คุณูปการเหล่านี้เป็นอานิสงส์ให้ ยอห์น. ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์
กลายเป็นขวัญใจ เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นที่รักของคนทั้งโลก
แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้จักอดีตที่สุดแสนขมขื่นและอหังการของเขาในบทบาท
“มหาเศรษฐีขี้ตืดขี้โมโห”ที่เต็มไปด้วย โทสะ โมหะ โลภะ เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
มีกลเม็ดในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
จนถูกเกลียดชังจากผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขา โดยเฉพาะจากญาติพี่น้องและบุคคลรอบข้าง
ช่างน่าสงสาร
รอคกี้เฟลเลอร์ วัย 43 ปีมหาเศรษฐีของโลกผู้ก่อตั้ง บริษัทน้ำมันสแตนดาร์ดออยล์
(Standard Oil) บริษัทผูกขาดในการค้าน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และมีรายได้ถึงสัปดาห์ละ
1ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่กลับไร้ซึ่งความสุขและความรัก...น่าสงสัยไหมครับว่าทำไม?
ตามประวัติระบุว่า
มีคนชอบเขามีเพียงไม่กี่คน คนส่วนมากเกลียดเขาไม่ต้องการติดต่อเกี่ยวข้องกับเขาไม่ว่าในทางธุรกิจหรือ
ในทางใดๆ
แม้แต่น้องชายของเขาเองก็เกลียดเขา จนถึงกับพาลูกๆ ออกไปจากบ้านประจำตระกูลซึ่งรอคกี้เฟลเลอร์สร้างขึ้น
ถามว่าตอนนั้น รอคกี้เฟลเลอร์ อยากให้คนทั้งหลายรักเขาไหม?
คำตอบ คือ
อยากสิครับ
แต่ดูเหมือนความรวย ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้
ชอบเอารัดเอาเปรียบ ความเกรี้ยวกราด ความเครียดแค้นชิงชัง ความขี้ระแวงสงสัย มุ่งคิดแต่จะทำลายคู่ต่อสู้ไม่ว่าในทางธุรกิจ
หรือในวิถีชีวิตด้วยความอิจฉาริษยา หรือ ความวิตกกังวลไม่สิ้นสุดในแต่ละวัน
ได้เผาผลาญความอ่อนน้อม
ความเมตตากรุณา ความน่ารัก น่าเคารพ มนต์เสน่ห์แห่งการคบหาในตัวของเขา ไปจนหมดสิ้น
กิเลสตัณหาเหล่านี้ส่งผลให้ รอคกี้เฟลเลอร์ เป็น
“ผู้ที่มีคนเกลียดชังมากที่สุดในโลก”ถึงขนาดต้องมีองครักษ์คอยพิทักษ์ชีวิตของเขามาแล้ว
กระทั่ง รอคกี้เฟลเลอร์ ต้องเผชิญหน้ากับ ความเจ็บป่วยปางตายเมื่ออายุเขาได้ 53 ปี สุขภาพของเขาเสื่อมโทรมมาก เพราะอุปนิสัยไร้สุขขี้เหนียวขี้ตืดขี้โมโหของเขานั่นเอง
เขานอนไม่หลับ ป่วยเป็นโรคเครื่องย่อยอาหารพิการอย่างรุนแรง จิตใจของเขาสุมอยู่ด้วยความทุกข์ร้อนกระสับกระส่าย จนผมร่วง หัวล้าน ขนตาและที่อื่นๆ ก็ร่วง
แพทย์ ได้บอกความจริงกับเขาว่า
ขอให้เขาเลือกเอาอย่างหนึ่ง คือ ธุรกิจการเงินหรือชีวิต และจะต้องตัดสินใจเลือกอย่างรวดเร็วด้วย
ถ้าเขาเลือกเอาชีวิตไว้ ขอให้เลิกงานด้านธุรกิจอย่างเด็ดขาด
มิฉะนั้นเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
รอคกี้เฟลเลอร์ เลือกเอาชีวิตตนเองไว้ หยุดงานธุรกิจ หันมาสนใจเรื่องของเพื่อนบ้าน เล่นกีฬาในร่มเล็กๆ น้อยๆ และมีเวลาเหลือเฟือที่จะคำนึงถึงสิ่งต่างๆ
เขาเริ่มคิดถึงผู้อื่น เลิกคิดถึงเรื่องการกอบโกยเงิน
เขากลับคิดใหม่ว่า
เขาจะต้องใช้เงินจำนวนสักเท่าใด จึงจะสามารถสร้างความสุขให้ปวงมนุษย์ในโลกได้
ในที่สุดเขาได้เปลี่ยนชีวิตของเขาจากความหน้าเลือดเห็นแก่ได้เอารัดเอา เปรียบมาเป็นผู้เสียสละ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อความสุขของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ยอห์น. ดี.
รอคกี้เฟลเลอร์ ผู้ซึ่งกำลังจะตายเมื่ออายุ 53 ปี
กลับเป็นผู้มีอายุยืนยาวถึง 98 ปี ได้อย่างน่าอัศจรรย์
เขากลายเป็นผู้มีความสุขความสงบแห่งจิตใจ
เขาเปลี่ยนคนเกลียดชังให้รักใคร่เขาได้ทั้งโลก เพราะเขาเปลี่ยนแปลงแนวคิด
การกระทำของเขาให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ทำความดีและเพิ่มพูนความดีอยู่เรื่อยๆ
นักธุรกิจ นักการเมือง นักปกครอง ข้าราชการ และเพื่อนมนุษย์ที่รักทั้งหลาย มีตาก็จงดู มีหูก็จงฟัง โปรดไตร่ตรองเอาเองเถิดว่า...
ท่านจะจัดการกับวิถีชีวิตแห่งตนเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์อย่างไร
(ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มคนจุดตะเกียง+PAD N.E.)
(ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มคนจุดตะเกียง+PAD N.E.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น