จาก “เฉลิม”...สู่ “ขวัญชัย”...กรณีพา “ทักษิณ”กลับบ้าน
ละครการเมือง “กลบข่าวของแพง”
หรือแค่ “นิทานชะเลียนาย”
ภาพจาก oknation.net |
แปลกแต่จริงที่จู่ๆชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัดภายใต้การนำของนายขวัญชัย ไพรพนา กล้าหาญชาญชัยออกมาแถลงข่าวตอกหน้า นายก“ปู” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ที่กำลัง(ดู)ดีวันดีคืน หลังสลัดทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ กลางอากาศด้วยวาทะ “ไม่กลับหรอกค่ะ” เพื่อสยบกระแสข่าวที่อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีว่าอาจจะกลับไทยปลายปีนี้
นายขวัญชัย และชมรมคนรักภาคอีสานสวนมาแรงถึงขนาดบอกรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ประกาศจะพาทักษิณ “กลับไทยให้เร็วที่สุด”ในช่วงสงกรานต์ปีนี้ (แรงกว่าเจ้าตัวที่บอกว่าจะกลับได้ปลายปีนี้อีกแน่ะ)
หรือเพื่อเป็นการรับขวัญเจ้านายที่พูดผ่านคนใกล้ชิดที่แวะเวียนไปเยี่ยมที่ฮ่องกงว่า “คนเสื้อแดงก็อยากให้กลับ พรรคเพื่อไทยก็อยากให้กลับ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ไม่อยากให้ผมกลับ”(มติชน 18 มี.ค.55 น.3)
หรือ เพื่อกลบข่าวร้อนเรื่องข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ซึ่งเป็นไฟที่จุดติดแล้ว และพลพรรคประชาธิปัตย์กำลังโหมให้ลุกกระพือลามไปทั้งในโลกออนไลน์ สื่อสารมวลชนและสังคมคนชนบท รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ต้องแบกรับต้นทุนด้านพลังงานและราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น มาเร็วกว่าเงินค่าแรงขั้นต่ำที่คาดว่าจะปรับขึ้นต้นเดือนเมษายนนี้
เป็นเรื่องน่าคิดทั้งสองมุมครับ
มุมหนึ่ง ดูเหมือนคนเสื้อแดงภาคอีสานต้องการปิดเกมให้เร็ว โดยนายขวัญชัย กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศไทย แล้วเข้าสู่การพิจารณาของศาลที่ต้องเป็น 3 ศาล”(มติชน 20 มี.ค.55 น.15)
และเป็นการเปิดพื้นที่ข่าวที่อาจเทียบได้กับกลยุทธ์ “หมากับเงา” หากหลงกลับไปโหมเล่นเรื่องสกัดทักษิณกลับประเทศ ตามแรงกระพือของนายขวัญชัย ข่าวข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ก็เป็นอันตกน้ำหายวับไปกับตา
รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ดูดีกว่าถูกข้อหาแก้ปัญหาข้าวของแพง ค่าครองชีพสูงไม่ได้ ซึ่งดูกระแสจะแรงขึ้นทุกวัน
อีกมุมหนึ่ง อาจเข้าตำรา “นิทานชะเลียนาย” ในท้องเรื่องที่ “ช่างปั้น” สองคนเกิดต้องการ “วัดฝีมือกัน”ให้รู้ดำรู้แดงว่าใคร(มัน)แน่กว่ากัน
ความกระหายใคร่ประลองของสองช่างฝีมือเอก ณ จินตประเทศ เดือดร้อนถึงพระราชาต้องออกมาตั้งกติกา และคณะกรรมการตัดสินที่ประกอบไปด้วยปราชญ์ทั้งหลายในเมือง
กติกาไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย โดยให้เวลานายช่างทั้งสอง 7 วัน กลับไปปั้นหนู ให้เหมือนจริงที่สุด แล้วนำมาประชันกัน
เมื่อถึงวันประลอง นายช่างคนแรกก็นำเอารูปปั้นหนู ที่ขึ้นรูปด้วยดินเหนียวซึ่งเหมือนหนูจริงสุดๆ ชนิดที่กรรมการเห็นแล้วถึงกับตะลึง
ส่วนนายช่างอีกคนหนึ่ง นำเอารูปปั้นซึ่งมองดูคล้ายๆกับหนูสัก 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นมาวางให้กรรมการพิจารณาดู
แน่นอนครับว่า คณะกรรมการต้องตัดสินให้นายช่างคนแรกเป็นผู้ชนะ เพราะกติกาบอกต้องปั้นให้เหมือนจริงที่สุด ซึ่งเรื่องก็น่าจะจบลงตรงนี้
แต่...ปรากฎว่า นายช่างคนที่สอง “ไม่ยอมรับการตัดสินครับ” โดยอ้างเหตุผลว่า “แมวย่อมรู้จักหนูดีกว่าคน” ดังนั้นต้องให้ “แมวเป็นผู้ตัดสิน” ไม่ใช่คนที่พระราชาแต่งตั้งมา
พระราชาก็ทรงเมตตาเหลือหลายให้คนไปจับแมวมาเป็นคณะ หลายตัวทีเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้วิ่งเข้าหาหนูรูปปั้นทั้งสองตัว
ภาพจาก atcloud.com |
ปรากฏว่า แมวทั้งคณะแย่งกันวิ่งเข้าตะปบหนูรูปปั้น ตัวที่มองดูคล้ายๆหนูสัก 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
เป็นอันว่า นายช่างคนที่สอง ก็ชนะการประลองในครั้งนี้ไป ท่ามกลางความงงงวยของคณะกรรมการผู้เป็นปราชญ์ทั้งหลาย
ความจริงมาแตกตรงที่นายช่างคนที่สองเฉลยให้ฟังว่า “ไม่ยากอะไร แค่เอาปลามาป่นบดให้เข้ากันแล้วเอามาปั้นเป็นหนู แมวมันไม่รู้หรอกว่าหนูมันรูปร่างเป็นอย่างไร แต่มันได้กลิ่นปลา มันจำกลิ่นได้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา”
ถ้าสื่อมวลชนหลงประเด็น ถ้าฝ่ายค้าน และคนไทยหลงประเด็น ไปตามกลิ่นทักษิณกลับบ้าน ข้อหารัฐบาลแก้ไขปัญหาข้าของแพงได้หรือไม่ได้ก็เป็นอันตกไป...รัฐบาลก็รอด ลอยตัว ไม่ถูกโจมตี
ถ้ารัฐบาลรอด...ท่านทักษิณก็รอด กลับบ้านได้สะดวกโยธิน
ส่วนชาวบ้าน คนยากคนจนคนหาเช้ากินค่ำ ก็ตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดกันไปตามยะถากรรม (เหมือนเดิม)