จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

“ต้องให้แมวตัดสินเอง”

จาก “เฉลิม”...สู่ “ขวัญชัย”...กรณีพา “ทักษิณ”กลับบ้าน
                          ละครการเมือง “กลบข่าวของแพง” 
                              หรือแค่ “นิทานชะเลียนาย”

ภาพจาก oknation.net
        แปลกแต่จริงที่จู่ๆชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัดภายใต้การนำของนายขวัญชัย ไพรพนา กล้าหาญชาญชัยออกมาแถลงข่าวตอกหน้า นายก“ปู” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ที่กำลัง(ดู)ดีวันดีคืน หลังสลัดทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ กลางอากาศด้วยวาทะ “ไม่กลับหรอกค่ะ” เพื่อสยบกระแสข่าวที่อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีว่าอาจจะกลับไทยปลายปีนี้

        นายขวัญชัย และชมรมคนรักภาคอีสานสวนมาแรงถึงขนาดบอกรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว    ประกาศจะพาทักษิณ “กลับไทยให้เร็วที่สุด”ในช่วงสงกรานต์ปีนี้ (แรงกว่าเจ้าตัวที่บอกว่าจะกลับได้ปลายปีนี้อีกแน่ะ)

           หรือเพื่อเป็นการรับขวัญเจ้านายที่พูดผ่านคนใกล้ชิดที่แวะเวียนไปเยี่ยมที่ฮ่องกงว่า “คนเสื้อแดงก็อยากให้กลับ พรรคเพื่อไทยก็อยากให้กลับ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ไม่อยากให้ผมกลับ”(มติชน 18 มี.ค.55 น.3)

          หรือ เพื่อกลบข่าวร้อนเรื่องข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ซึ่งเป็นไฟที่จุดติดแล้ว และพลพรรคประชาธิปัตย์กำลังโหมให้ลุกกระพือลามไปทั้งในโลกออนไลน์ สื่อสารมวลชนและสังคมคนชนบท รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ต้องแบกรับต้นทุนด้านพลังงานและราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น มาเร็วกว่าเงินค่าแรงขั้นต่ำที่คาดว่าจะปรับขึ้นต้นเดือนเมษายนนี้

          เป็นเรื่องน่าคิดทั้งสองมุมครับ

          มุมหนึ่ง ดูเหมือนคนเสื้อแดงภาคอีสานต้องการปิดเกมให้เร็ว โดยนายขวัญชัย กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศไทย แล้วเข้าสู่การพิจารณาของศาลที่ต้องเป็น 3 ศาล”(มติชน 20 มี.ค.55 น.15)

           และเป็นการเปิดพื้นที่ข่าวที่อาจเทียบได้กับกลยุทธ์ “หมากับเงา” หากหลงกลับไปโหมเล่นเรื่องสกัดทักษิณกลับประเทศ ตามแรงกระพือของนายขวัญชัย ข่าวข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ก็เป็นอันตกน้ำหายวับไปกับตา

          รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ดูดีกว่าถูกข้อหาแก้ปัญหาข้าวของแพง ค่าครองชีพสูงไม่ได้ ซึ่งดูกระแสจะแรงขึ้นทุกวัน  

          อีกมุมหนึ่ง อาจเข้าตำรา “นิทานชะเลียนาย” ในท้องเรื่องที่ “ช่างปั้น” สองคนเกิดต้องการ “วัดฝีมือกัน”ให้รู้ดำรู้แดงว่าใคร(มัน)แน่กว่ากัน  

          ความกระหายใคร่ประลองของสองช่างฝีมือเอก ณ จินตประเทศ เดือดร้อนถึงพระราชาต้องออกมาตั้งกติกา และคณะกรรมการตัดสินที่ประกอบไปด้วยปราชญ์ทั้งหลายในเมือง

          กติกาไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย โดยให้เวลานายช่างทั้งสอง 7 วัน กลับไปปั้นหนู ให้เหมือนจริงที่สุด แล้วนำมาประชันกัน

          เมื่อถึงวันประลอง นายช่างคนแรกก็นำเอารูปปั้นหนู ที่ขึ้นรูปด้วยดินเหนียวซึ่งเหมือนหนูจริงสุดๆ ชนิดที่กรรมการเห็นแล้วถึงกับตะลึง

          ส่วนนายช่างอีกคนหนึ่ง นำเอารูปปั้นซึ่งมองดูคล้ายๆกับหนูสัก 5เปอร์เซ็นต์เท่านั้นมาวางให้กรรมการพิจารณาดู

          แน่นอนครับว่า คณะกรรมการต้องตัดสินให้นายช่างคนแรกเป็นผู้ชนะ เพราะกติกาบอกต้องปั้นให้เหมือนจริงที่สุด ซึ่งเรื่องก็น่าจะจบลงตรงนี้

          แต่...ปรากฎว่า นายช่างคนที่สอง “ไม่ยอมรับการตัดสินครับ” โดยอ้างเหตุผลว่า “แมวย่อมรู้จักหนูดีกว่าคน”  ดังนั้นต้องให้ “แมวเป็นผู้ตัดสิน” ไม่ใช่คนที่พระราชาแต่งตั้งมา

          พระราชาก็ทรงเมตตาเหลือหลายให้คนไปจับแมวมาเป็นคณะ หลายตัวทีเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้วิ่งเข้าหาหนูรูปปั้นทั้งสองตัว

ภาพจาก atcloud.com
          ปรากฏว่า แมวทั้งคณะแย่งกันวิ่งเข้าตะปบหนูรูปปั้น ตัวที่มองดูคล้ายๆหนูสัก 5เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

          เป็นอันว่า นายช่างคนที่สอง ก็ชนะการประลองในครั้งนี้ไป ท่ามกลางความงงงวยของคณะกรรมการผู้เป็นปราชญ์ทั้งหลาย

          ความจริงมาแตกตรงที่นายช่างคนที่สองเฉลยให้ฟังว่า “ไม่ยากอะไร แค่เอาปลามาป่นบดให้เข้ากันแล้วเอามาปั้นเป็นหนู  แมวมันไม่รู้หรอกว่าหนูมันรูปร่างเป็นอย่างไร แต่มันได้กลิ่นปลา มันจำกลิ่นได้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา”

          ถ้าสื่อมวลชนหลงประเด็น ถ้าฝ่ายค้าน และคนไทยหลงประเด็น ไปตามกลิ่นทักษิณกลับบ้าน   ข้อหารัฐบาลแก้ไขปัญหาข้าของแพงได้หรือไม่ได้ก็เป็นอันตกไป...รัฐบาลก็รอด ลอยตัว ไม่ถูกโจมตี

          ถ้ารัฐบาลรอด...ท่านทักษิณก็รอด กลับบ้านได้สะดวกโยธิน
  
          ส่วนชาวบ้าน คนยากคนจนคนหาเช้ากินค่ำ ก็ตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดกันไปตามยะถากรรม (เหมือนเดิม)

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2555

ประเทศไทย...มีทรัพย์ในดินสินในน้ำ

ทำไมต้องจ่ายแพงกว่า?
      กรุงเทพฯธุรกิจออนไลน์ (17 มี.ค.55) รายงานข่าวว่าประธานาธิบดีบารัก โอบามาของสหรัฐ เรียกร้องให้ชาวอเมริกัน ยุติการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างชาติ และยุติการให้เงินอุดหนุนบริษัทน้ำมันหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในแต่ละปี ในรายการวิทยุและอินเตอร์เน็ตประจำสัปดาห์
ขอบคุณภาพจากกรุงเทพฯธุรกิจออนไลน์

      ผมอ่านข่าวนี้แล้ว รู้สึกประทับใจในคำพูดของท่านประธานาธิบดีเมืองลุงแซมขึ้นมาแบบฉับพลัน

     
 ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่า ทำไมถึงประทับใจ พี่น้องที่เคารพลองเหลือบไปดูราคาน้ำมันบ้านเราสิครับ ราคาลิตรละเท่าไร ดีเซล 32 บาทอัพ เบนซิน 42 บาทอัพ แก๊สโซฮอลล์ 91ลิตรละ 38 บาทอัพ ในขณะที่ราคาน้ำมันในมาเลเซีย พม่า ราคาถูกกว่าเรากว่า 50 เปอร์เซ็นต์

      ทำไมคนไทยต้องใช้น้ำมันแพงหูฉี่ขนาดนี้ เพราะอะไร
     
       โปรดฟังท่าน ประธานาธิบดีบารัก โอบามา พูด....  

      ในรายการวิทยุและอินเตอร์เน็ตประจำสัปดาห์ ท่านโอบามา กล่าวไว้ให้คนไทยอย่างเราต้องคิดครับว่า  “สิ่งที่ชาวอเมริกันไม่สามารถทำได้คือ ความต้องการพลังงานของชาวอเมริกัน ที่ต้องขึ้นอยู่กับประเทศอื่นๆ

      นั่นสิ! แล้วทำไมคนไทยอย่างเราๆท่านๆต้องแบกรับภาระราคาน้ำมันกันขนาดนี้

      น้ำมันดิบในทะเลเราก็มี โรงกลั่นเราก็มี แต่ทำไมราคาน้ำมันมันถึงแพงบรรลัยโลกอย่างนี้ครับพี่น้อง

      หรือว่า...เราปล่อยให้นักลงทุนรุมกันสูบเลือดสูบเนื้อสูบน้ำมัน และเอากำไรเราได้ตามใจชอบ โดยมีรัฐบาลคอยเก็บภาษีซ้ำเติมอีกสำทับ (แทนที่จะช่วยให้ประชาชนได้ใช้น้ำมันราคาถูกลง และหันไปเก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดกกับคนรวยและนักลงทุน)

      ฝ่ายค้านหรือครับ ไม่มีท่าหรอกครับ พวกนักการเมืองเหมือนกัน เขาประกาศแล้วว่าจะไม่ออกกฎหมายเก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดกกับคนรวยและนักลงทุน

      เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่านักการเมืองไทย เป็นกลุ่มที่ถือครองที่ดินมากที่สุดของประเทศ และนักลงทุน หรือนายทุนก็เป็นพวกเดียวกันกับนักการเมือง หรือเป็นนักการเมืองอยู่ในสภานั่นแหละครับ

       เข้าตำราเสือย่อมไม่กินเนื้อเสือ (แต่รุมกินเลือดกินเนื้อคนจนหาเช้ากินค่ำแทน)

      กรุงเทพฯธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า คำกล่าวของนายโอบามามีขึ้นขณะที่เขาเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากพรรครีพับลีกัน ที่ตำหนินโยบายพลังงานของเขาที่ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้น และส่งผลกระทบกระต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังซวนเซหามุมไม่เจออยู่

      ฟังดูคล้ายสถานการณ์ของบ้านเมืองเราเลยนะครับ

      แต่ต่างกันตรงที่ท่านนายกยิ่งลักษณ์สั่งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เล่นบทพระยาน้อยตรวจตลาด หรือพระลอตามไก่ เพื่อสกัดราคาสินค้าและอาหารไม่ให้สูงขึ้นโดยไร้เหตุผล (แต่ถ้ามีเหตุผลก็ขึ้นราคาได้หรือเปล่า?) อะไรทำนองนั้น

      ยังไม่ได้ออกมาประกาศกร้าวอย่างท่านบารัก โอบามา หรือจะประกาศอย่างท่านทักษิณว่า ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ...เท่านั้น

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

การเมืองแบบ "ฉลาดมันโง่"?

นักการเมืองไทย โง่หรือฉลาดดูที่ประชาธิปัตย์

          ผมชักไม่แน่ใจว่า สารพัดเรื่องที่พลพรรคประชาธิปัตย์พูด...ถามและทำ...เป็นเรื่องที่ “ฉลาดมันโง่”ตามธรรมเทศนาของหลวงปู่ชา หรือ “โง่แล้วอวดฉลาด”อย่างที่ชาวบ้านชอบว่ากัน

            พี่น้องทุกท่านโปรดลองคิดทบทวนกันดูที...

            ปัญหาเรื่องใหญ่ที่กระทบกับสังคมไทยและปากท้องของคนไทยทุกวันนี้ ไม่ใช่เรื่องนายกทักษิณจะกลับประเทศด้วยเครื่องบินอะไร ใครจะไปรับ...ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บัญชาการเรือนจำ...และอะไรต่อมิอะไรที่ทีมสายล่อฟ้า พลพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น นายเทพไท เสนพงศ์ สรรหามาเล่นเอาล่อเอาเถิดกับกลยุทธ์ปั่นข่าวของขุนพลพรรคเพื่อไทย

          ปัญหาใหญ่ของคนไทยวันนี้ คือ เรื่อง ปากท้องของแพง หากินยากลำบากขึ้นทุกวันๆ ครับ

             พลพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย สมาชิกรัฐสภาและฝ่ายค้านในสภาผุ้แทนราษฎรมัวอมพะนำอะไรอยู่ครับ ทำไมไม่ซัดให้จะแจ้งแดงแจ๋กันไปเลยว่าจะเอาอย่างไรกัน (มัวแต่ไปวนอยู่กับประเด็น  ว.5 โฟร์ซีซั่นอยู่นั่นแหละแกเอ๋ย)
            ใครจะแก้ปัญหาความยากจน ใครจะรับผิดชอบเรื่องคนตกงานที่กำลังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และที่สุดจะกลายเป็นผลกระทบ เป็นปัญหาอื่นๆทางสังคมตามมา ทั้งอาชญากรรม แย่งชิงจี้ปล้น เป็นโรคจิตโรคประสาท เป็นบุคคลไร้ประสิทธิภาพ ติดยาบ้ากัญชา ฯลฯ เป็นกำลังคน(Man Power)ที่ไร้สมรรถนะ ไร้ขีดความสามรถในการแข่งขันไปโน่น

            ใครจะแก้ปัญหาเรื่องของแพง  ใครที่ค้ากำไรเกินควร ค่าไฟฟ้า ต้นทุนพลังงาน และราคาอ้างอิงที่ใช้กันอยู่มันเหมาะสมหรือไม่ หรือเอื้อประโยชน์ให้กับใครบ้าง ถ้าจะแก้ไขปรับปรุงต้องทำอย่างไร ใครต้องทำ ต้องออกกฎหมายอะไรมาใช้บังคับบ้าง

            ทำไมพลพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พูดให้ชัดๆเจาะให้ลึกๆฉีกหน้ากาก กระชากพวกเอาเปรียบสังคมเอาเปรียบประชาชนคนยากคนจนลงมาประจานในที่แจ้งล่ะครั

            มัวแต่เล่นเรื่องที่เป็นประโยชน์แต่ตัวเอง ทำให้ตัวเองดูดี เด่น ดังเป็นข่าว แต่ประชาชนได้ประโยชน์หรือเปล่า...ไม่รู้?

            ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนักการเมืองอาชีพจริงอย่างที่คุย(โม้)เอาไว้ ก็ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนได้รู้สิครับว่า รัฐบาลจะแก้ปัญหาปากท้อง ของแพง ความยากจนและคนตกงานอย่างไร?

            อย่ามัวแต่เล่นมายาเรื่องการเมืองกันอยู่เลยครับ ประเทศชาติและประชาชนจะเดือดร้อนลำเค็ญไปมากกว่านี้

            ที่ประเทศราชบุรี เรื่องพื้นที่ในอำเภอสวนผึ้ง ก็เช่นเดียวกัน พื้นที่ใดเป็นพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่ใดเป็นพื้นที่โครงการอุทยานธรรมชาติวิทยาต้องอนุรักษ์ไว้ พื้นที่ใดเป็นพื้นที่ราชพัสดุเปิดให้เช่าใช้ประโยชน์ทางเกษตร หรือทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   และพื้นที่ใดเป็นพื้นที่อยู่อาศัยทำกินของชาวบ้าน ที่บุกเบิกครอบครองอยู่ทำกินคู่ป่ามาก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกา 2481 หรือพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯลฯอะไรก็ตาม ออกมาใช้บังคับ

            ผมว่าเอาแผนที่มากาง แล้วชี้อาณาเขตปักหลักลงแดนกันไปให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ หรือมีหน้าที่ดูแลในพื้นที่ เอาไปเป็นเหตุแอบอ้างหาผลประโยชน์ใส่ตัว หลอกลวงหรือข่มขู่ชาวบ้านอย่างที่เป็นกันอยู่ในเวลานี้

            สิทธิของชาวบ้าน สิทธิของชุมชน สิทธิและหน้าที่ของทหาร สิทธิและหน้าที่ของข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น เอ็นจีโอ...อะไรก็ตาม เรียกมาพูดกันให้ชัดเจนเสียที

            อย่ามัวอ้ำอึ้ง เล่นชักเย่อกันไปมา...

            ป่าจะวอดวาย...ชาวบ้านเขาเดือดร้อน เพราะทำกินไม่ได้ และ

เป็นทุกข์ใจที่ต้องไร้สิทธิในที่อยู่อาศัยทำกิน เพราะถูกกฎหมายรัฐรังแก

ครับ 

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปัญหาประชาชน ปัญหารัฐบาล

ต้องเร่งแก้ปัญหาปากท้อง ของแพงก่อน

       ปัญหาสินค้าราคาแพงขึ้น และค่าครองชีพที่กำลังพุ่งสูงขึ้น ทั้งในทางสถิติและชีวิตจริงกำลังทวีความทุกข์ร้อน และอดอยากยากแค้นให้เกิดแก่พี่น้องคนยากคนจน คนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศในเวลานี้ เป็นประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยคาดหวังว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะสามารถจัดการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา www.kapook.com

          เป็นความจริงที่อาหารปรุงสำเร็จ อาหารจานด่วน-จานเดียว ประเภทก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง อาหารตามสั่งได้พากันพาเหรดขึ้นราคาจากชามหรือจานละ 20 บาท เป็น 25 บาท  จากที่เคยขาย 30 บาท ก็ขยับเป็น 35 บาท เขยิบแพงขึ้นไปทุกที โดยอ้างว่ามีต้นทุนสูงขึ้นจากราคาสินค้าแพง และราคาเชื้อเพลิงที่ไต่ระดับสูงขึ้น

          แม้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะใช้มาตรการต่างๆทั้งการตรึงราคา กดดัน และเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนอาทิเช่น การจัดให้มีการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด การตรึงราคาค่ารถโดยสาร-รถไฟฟ้า ฯลฯ แต่ก็ยังออกอาการ “เอาไม่อยู่” ให้เห็น 

       และคาดว่ารัฐบาลจะไม่สามารถควบคุมราคาสินค้า และราคาอาหารได้อย่างที่คนจนคนรายได้น้อยต้องการอีกต่อไป

       เพราะก่อนหน้านี้ได้มีรายงานข่าวว่า มีสัญญาณจากผู้ผลิตมายังผู้ขายแล้วว่า อีกไม่นานต้องปรับเพิ่มราคาขายส่ง โดยอ้างเป็นการปรับฐานราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น ตามอัตราเงินเดือนและค่าแรงงานที่กำลังจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน     รวมทั้งการลอยตัวราคาพลังงานตามนโยบายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และการปรับเพิ่มขึ้นของราคาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือค่าเอฟที ที่ กฟผ.ระบุว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 25.51สตางค์ต่อหน่วย งวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมนี้

          นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากนโยบายยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน เกษตรกร โดยการเพิ่มราคาสินค้าเกษตร และเพิ่มค่าจ้างแรงงาน การรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงกว่าตลาด ที่มีผลทำให้ราคาข้าวถุงเพิ่มขึ้นอีก 5-10 เปอร์เซ็นต์ และนโยบายอื่นๆของรัฐบาลที่ส่งผลต่อการขึ้นราคาสิ้นค้าทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม

          ซึ่งนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง(มติชน 6 มี.ค.55) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง    ก็ออกมายอมรับแล้วว่า     “ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น” โดยให้เหตุผลว่า “เพราะไทยอยู่ในโลกเศรษฐกิจแบบเปิด ดังนั้นจะบังคับให้ราคาสินค้าต่ำลงไม่ได้ เพราะสะท้อนตามกลไกของต้นทุน และในวันที่ 1 เมษายนนี้ ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับเพิ่มเป็น 300 บาทต่อวัน ซึ่งค่าแรงดังกล่าวจะมารองรับกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น”  
ที่มา www.kapook.com

       จากข้อมูลและแนวโน้มที่ปรากฏชัดนี้ แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนของทิศทางราคาสินค้า อาหารและค่าครองชีพที่จะพุ่งสูงขึ้นอีกระลอก โดยอ้างอิงต้นทุน ราคาวัตถุดิบทางการผลิต การขนส่งและกลไกตลาด ซึ่งต่อไปราคาก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกงข้างถนน อาหารประจำวันของคนหาเช้ากินค่ำ และคนรายได้น้อย  อาจถีบตัวสูงขึ้นเป็นสองจานร้อย ผงซักฟอก ยาสีฟัน ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และค่ารถโดยสารจะต้องแพงขึ้นอีกเท่าตัว หรือมากกว่านั้น

          ปัญหาก็คือว่า พี่น้องคนยากคนจน คนหาเช้ากินค่ำ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีอยู่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะอยู่กันอย่างไร จะกินอะไรเมื่อรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย

          เพราะนอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว ราคาค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่ารถโดยสารในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาลฯลฯ สารพัดอย่างก็คงเพิ่มสูงขึ้นเป็นภูเขาแห่งความทุกข์ระทม ความเดือดร้อนทับถมประชาชนให้มีความแร้นแค้นมากยิ่งขึ้นไปอีก

          ถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ คณะรัฐมนตรี และส.ส.พรรครัฐบาลทำได้แค่การออกมายอมรับว่า สินค้าต้องขึ้นราคา เพราะไทยอยู่ในโลกเศรษฐกิจแบบเปิด ดังนั้นจะบังคับให้ราคาสินค้าต่ำลงไม่ได้ เพราะสะท้อนตามกลไกของต้นทุน
       
          ผมว่าคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน สมควรต้องลาออกสถานเดียวครับ อย่าอยู่ให้เปลืองภาษีประชาชนอีกเลย

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขปัญหาผูกขาดประเทศ(2)

แก้ไขรัฐธรรมนูญ  : สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

         แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้เพื่อใคร แก้ทำไม แก้อะไร แก้แล้วประชาชนและประเทศชาติ จะได้อะไร การทุจริตคอรัปชั่นจะน้อยลงหรือไม่  ประเทศไทยจะได้นักการเมืองที่ดีมีคุณธรรมจริยธรรมมากขึ้นหรือไม่ เราจะไว้ใจคณะกรรมาธิการ และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ที่มา:หนังสือพิมพ์มติชน 8 มี.ค.55,น.3และแก้ไขเพิ่มเติมโดยตูน'53



















      
    การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นของประเทศ


 เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม หรือ เพื่อนักการเมืองพวกใดพวกหนึ่ง 


คนใดคนหนึ่งจะได้กลับมามีอำนาจทางการเมือง?
         

   ประเด็นเหล่านี้ ยังคงเป็นคำถามที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของพี่น้อง

ประชาชนจำนวนมาก ที่ต้องการทราบทั้งข้อเท็จจริง และความจริงใจ

ของนักการเมือง และผู้ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวม

ทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในขั้นตอนต่างๆระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ


            สาเหตุที่ประชาชนยังคงมีความคลางแคลงสงสัยอยู่มาก ก็เพราะว่าปัญหาความแตกแยกทางการเมืองที่ยังคงอยู่ และความพยายามในการนำเอาพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับเข้าประเทศไทย แบบมีเลศนัยตามคำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทยว่า “ท่านทักษิณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ท่านทำสิ่งที่กฎหมายห้าม...” คำพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร   มีนัยยะในทางการเมืองมากเพียงไร    และเกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่?
            ขณะที่พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้ให้สัมภาษณ์นายไรซาอัด ซาลามัด ผู้สื่อข่าวบลูมเบิร์ก ทีวี ระหว่างการเข้าร่วมประชุมภาวะผู้นำแห่งเอเชีย ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ โดยแสดงความเชื่อมั่นว่า ความปรองดองในชาติจะเกิดขึ้นได้ในที่สุด และอาจเร็วกว่าที่ใครคิด คือภายในสิ้นปีนี้ ส่งผลให้ตนเองสามารถเดินทางกลับประเทศภายในปีนี้อีกด้วย(มติชน 8 มี.ค.55,น.14)

            โดยพันตำรวจโท ทักษิณ ระบุด้วยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลเสนอ เป็นการแก้ไขเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคนไทย 66 ล้านคน จนแทบจะเป็นฉันทามติ แต่ทว่าในสภาพจริงของสังคมไทยกลับยังคงมีกลุ่มต่างๆทางการเมืองออกมาต่อต้าน วิพากษ์วิจารณ์ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นฝ่ายต่อต้านพันตำรวจโท ทักษิณ โดยตรง ได้จัดการสัมมนาแสดงพลังและท่าทีต่อต้านไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

            และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าจำเป็นต้องติดคุก เพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ขึ้นในประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมหรือไม่ ซึ่งรายงานข่าวระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณตอบเลี่ยงว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรผิด” ในขณะที่นายคริส เบเกอร์ นักวิเคราะห์การเมืองไทยให้ความเห็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ด้วยถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลานี้อย่างสมบูรณ์แบบ นายกยิ่งลักษณ์ทำหน้าที่รอมชอมได้วิเศษมาก...โดยมีอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมดก็คือ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะกลับมาประเทศมานั่นเอง(มติชน 8 มี.ค.55,น.14)

            คำวิเคราะห์เช่นนี้หมายความว่าอะไร และมีนัยยะทางการเมืองในทางแตกแยก หรือปรองดองสงบเรียบร้อย  และจะส่งผลสะท้านสะเทือนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงความปรกติสุขของพี่น้องประชาชนคนไทย และความมั่นคงมั่งคั่งของประเทศเพียงใด

            รัฐบาล และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงพรรคฝ่ายค้านและสื่อสารมวลชน ควรจะช่วยกันทำให้คำพูดที่มีนัยยะทางการเมืองเหล่านี้ และสิ่งที่จะเป็นไปในขั้นตอนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความชัดเจน เป็นที่เข้าใจได้ง่ายและเข้าใจตรงกัน  สำหรับประชาชนทั่วไป ไร้วาระและผลประโยชน์แอบแฝงของนักการเมืองกลุ่มพวกหรือคนใดๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งและกลียุคขึ้นในบ้านเมืองอีก

            ถึงแม้ว่าจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถูกใส่ร้ายป้ายสีบ้างก็ต้องยอม และต้องต่อสู้กันโดยวิถีทางประชาธิปไตยโดยแท้จริง  ไม่ใช่ใช้ระบอบกฎหมู่ ใช้มวลชนหรือวาทะกรรมบิดเบือนซ่อนเร้น ความไม่ปรกติเอาไว้เป็นระเบิดเวลา ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดต่อประเทศชาติ ประชาชนและความเป็นประชาธิปไตยที่นำมากล่าวอ้างเลย