จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

“ต้องให้แมวตัดสินเอง”

จาก “เฉลิม”...สู่ “ขวัญชัย”...กรณีพา “ทักษิณ”กลับบ้าน
                          ละครการเมือง “กลบข่าวของแพง” 
                              หรือแค่ “นิทานชะเลียนาย”

ภาพจาก oknation.net
        แปลกแต่จริงที่จู่ๆชมรมคนรักภาคอีสาน 20 จังหวัดภายใต้การนำของนายขวัญชัย ไพรพนา กล้าหาญชาญชัยออกมาแถลงข่าวตอกหน้า นายก“ปู” นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย ที่กำลัง(ดู)ดีวันดีคืน หลังสลัดทิ้ง พ.ต.ท.ทักษิณ กลางอากาศด้วยวาทะ “ไม่กลับหรอกค่ะ” เพื่อสยบกระแสข่าวที่อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีว่าอาจจะกลับไทยปลายปีนี้

        นายขวัญชัย และชมรมคนรักภาคอีสานสวนมาแรงถึงขนาดบอกรอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว    ประกาศจะพาทักษิณ “กลับไทยให้เร็วที่สุด”ในช่วงสงกรานต์ปีนี้ (แรงกว่าเจ้าตัวที่บอกว่าจะกลับได้ปลายปีนี้อีกแน่ะ)

           หรือเพื่อเป็นการรับขวัญเจ้านายที่พูดผ่านคนใกล้ชิดที่แวะเวียนไปเยี่ยมที่ฮ่องกงว่า “คนเสื้อแดงก็อยากให้กลับ พรรคเพื่อไทยก็อยากให้กลับ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ไม่อยากให้ผมกลับ”(มติชน 18 มี.ค.55 น.3)

          หรือ เพื่อกลบข่าวร้อนเรื่องข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ซึ่งเป็นไฟที่จุดติดแล้ว และพลพรรคประชาธิปัตย์กำลังโหมให้ลุกกระพือลามไปทั้งในโลกออนไลน์ สื่อสารมวลชนและสังคมคนชนบท รวมถึงภาคอุตสาหกรรมและบริการที่ต้องแบกรับต้นทุนด้านพลังงานและราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น มาเร็วกว่าเงินค่าแรงขั้นต่ำที่คาดว่าจะปรับขึ้นต้นเดือนเมษายนนี้

          เป็นเรื่องน่าคิดทั้งสองมุมครับ

          มุมหนึ่ง ดูเหมือนคนเสื้อแดงภาคอีสานต้องการปิดเกมให้เร็ว โดยนายขวัญชัย กล่าวในการแถลงข่าวว่า “ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับเข้ามาในประเทศไทย แล้วเข้าสู่การพิจารณาของศาลที่ต้องเป็น 3 ศาล”(มติชน 20 มี.ค.55 น.15)

           และเป็นการเปิดพื้นที่ข่าวที่อาจเทียบได้กับกลยุทธ์ “หมากับเงา” หากหลงกลับไปโหมเล่นเรื่องสกัดทักษิณกลับประเทศ ตามแรงกระพือของนายขวัญชัย ข่าวข้าวของแพง ค่าครองชีพสูง ก็เป็นอันตกน้ำหายวับไปกับตา

          รัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ก็ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ดูดีกว่าถูกข้อหาแก้ปัญหาข้าวของแพง ค่าครองชีพสูงไม่ได้ ซึ่งดูกระแสจะแรงขึ้นทุกวัน  

          อีกมุมหนึ่ง อาจเข้าตำรา “นิทานชะเลียนาย” ในท้องเรื่องที่ “ช่างปั้น” สองคนเกิดต้องการ “วัดฝีมือกัน”ให้รู้ดำรู้แดงว่าใคร(มัน)แน่กว่ากัน  

          ความกระหายใคร่ประลองของสองช่างฝีมือเอก ณ จินตประเทศ เดือดร้อนถึงพระราชาต้องออกมาตั้งกติกา และคณะกรรมการตัดสินที่ประกอบไปด้วยปราชญ์ทั้งหลายในเมือง

          กติกาไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย โดยให้เวลานายช่างทั้งสอง 7 วัน กลับไปปั้นหนู ให้เหมือนจริงที่สุด แล้วนำมาประชันกัน

          เมื่อถึงวันประลอง นายช่างคนแรกก็นำเอารูปปั้นหนู ที่ขึ้นรูปด้วยดินเหนียวซึ่งเหมือนหนูจริงสุดๆ ชนิดที่กรรมการเห็นแล้วถึงกับตะลึง

          ส่วนนายช่างอีกคนหนึ่ง นำเอารูปปั้นซึ่งมองดูคล้ายๆกับหนูสัก 5เปอร์เซ็นต์เท่านั้นมาวางให้กรรมการพิจารณาดู

          แน่นอนครับว่า คณะกรรมการต้องตัดสินให้นายช่างคนแรกเป็นผู้ชนะ เพราะกติกาบอกต้องปั้นให้เหมือนจริงที่สุด ซึ่งเรื่องก็น่าจะจบลงตรงนี้

          แต่...ปรากฎว่า นายช่างคนที่สอง “ไม่ยอมรับการตัดสินครับ” โดยอ้างเหตุผลว่า “แมวย่อมรู้จักหนูดีกว่าคน”  ดังนั้นต้องให้ “แมวเป็นผู้ตัดสิน” ไม่ใช่คนที่พระราชาแต่งตั้งมา

          พระราชาก็ทรงเมตตาเหลือหลายให้คนไปจับแมวมาเป็นคณะ หลายตัวทีเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้วิ่งเข้าหาหนูรูปปั้นทั้งสองตัว

ภาพจาก atcloud.com
          ปรากฏว่า แมวทั้งคณะแย่งกันวิ่งเข้าตะปบหนูรูปปั้น ตัวที่มองดูคล้ายๆหนูสัก 5เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

          เป็นอันว่า นายช่างคนที่สอง ก็ชนะการประลองในครั้งนี้ไป ท่ามกลางความงงงวยของคณะกรรมการผู้เป็นปราชญ์ทั้งหลาย

          ความจริงมาแตกตรงที่นายช่างคนที่สองเฉลยให้ฟังว่า “ไม่ยากอะไร แค่เอาปลามาป่นบดให้เข้ากันแล้วเอามาปั้นเป็นหนู  แมวมันไม่รู้หรอกว่าหนูมันรูปร่างเป็นอย่างไร แต่มันได้กลิ่นปลา มันจำกลิ่นได้ ไม่ใช่รูปร่างหน้าตา”

          ถ้าสื่อมวลชนหลงประเด็น ถ้าฝ่ายค้าน และคนไทยหลงประเด็น ไปตามกลิ่นทักษิณกลับบ้าน   ข้อหารัฐบาลแก้ไขปัญหาข้าของแพงได้หรือไม่ได้ก็เป็นอันตกไป...รัฐบาลก็รอด ลอยตัว ไม่ถูกโจมตี

          ถ้ารัฐบาลรอด...ท่านทักษิณก็รอด กลับบ้านได้สะดวกโยธิน
  
          ส่วนชาวบ้าน คนยากคนจนคนหาเช้ากินค่ำ ก็ตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดกันไปตามยะถากรรม (เหมือนเดิม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น