จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จะมีประโยชน์อะไร ที่ได้โลกเป็นกำไร แต่วิญญาณต้องเสียไป


ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ
         คนจำนวนมากในโลกนี้รู้จัก ยอห์น. ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์ ในฐานะ “ผู้ให้”ผู้เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม

            ร็อคกี้เฟลเลอร์ บริจาคเงินหลายล้านเหรียญ เพื่อสร้างสันติสุขในโลกนี้

            เขาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปราบพยาธิปากขอจนหมดไปจากภาคใต้ของสหรัฐ อเมริกา

            เขาได้ตั้งมูลนิธิอันยิ่งใหญ่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก นั่นคือ “รอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และเพื่อความสุขสวัสดีของมนุษยชาติ

มูลนิธินี้ได้ให้ทุนเพื่อการศึกษาค้นคว้าสิ่งต่างๆ มากมาย ทั้งในวงการศึกษาและวงการแพทย์

เงินบริจาคหลายล้านเหรียญของเขา ก่อให้เกิดมหาวิทยาลัยแห่งชิคาโก เพื่อช่วยเหลือการศึกษาของชาวนิโกร

            ยารักษาโรคหลายชนิด เช่น เพนนิซิลิน, ยา ในการรักษาเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ก็เป็นผลงานของรอคกี้เฟลเลอร์มูลนิธิ

นอกจากนี้ รอคกี้เฟลเลอร์ยังร่วมบริจาคในการต่อสู้ทำลายโรคมาเลเรีย วัณโรค ไข้หวัดใหญ่ โรคคอตีบ และโรคอื่นๆ อีกมาก ซึ่งระบาดอยู่ทั่วโลก

คุณูปการเหล่านี้เป็นอานิสงส์ให้ ยอห์น. ดี. ร็อคกี้เฟลเลอร์ กลายเป็นขวัญใจ เป็นต้นแบบ เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นที่รักของคนทั้งโลก


แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้จักอดีตที่สุดแสนขมขื่นและอหังการของเขาในบทบาท “มหาเศรษฐีขี้ตืดขี้โมโห”ที่เต็มไปด้วย โทสะ โมหะ โลภะ เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ มีกลเม็ดในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น

จนถูกเกลียดชังจากผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเขา โดยเฉพาะจากญาติพี่น้องและบุคคลรอบข้าง

ช่างน่าสงสาร รอคกี้เฟลเลอร์ วัย 43 ปีมหาเศรษฐีของโลกผู้ก่อตั้ง บริษัทน้ำมันสแตนดาร์ดออยล์ (Standard Oil) บริษัทผูกขาดในการค้าน้ำมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และมีรายได้ถึงสัปดาห์ละ 1ล้านเหรียญสหรัฐ  

แต่กลับไร้ซึ่งความสุขและความรัก...น่าสงสัยไหมครับว่าทำไม?

ตามประวัติระบุว่า มีคนชอบเขามีเพียงไม่กี่คน คนส่วนมากเกลียดเขาไม่ต้องการติดต่อเกี่ยวข้องกับเขาไม่ว่าในทางธุรกิจหรือ ในทางใดๆ

แม้แต่น้องชายของเขาเองก็เกลียดเขา จนถึงกับพาลูกๆ ออกไปจากบ้านประจำตระกูลซึ่งรอคกี้เฟลเลอร์สร้างขึ้น

 ถามว่าตอนนั้น รอคกี้เฟลเลอร์ อยากให้คนทั้งหลายรักเขาไหม?

คำตอบ คือ อยากสิครับ

แต่ดูเหมือนความรวย ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ชอบเอารัดเอาเปรียบ ความเกรี้ยวกราด ความเครียดแค้นชิงชัง ความขี้ระแวงสงสัย มุ่งคิดแต่จะทำลายคู่ต่อสู้ไม่ว่าในทางธุรกิจ หรือในวิถีชีวิตด้วยความอิจฉาริษยา หรือ ความวิตกกังวลไม่สิ้นสุดในแต่ละวัน

ได้เผาผลาญความอ่อนน้อม ความเมตตากรุณา ความน่ารัก น่าเคารพ มนต์เสน่ห์แห่งการคบหาในตัวของเขา ไปจนหมดสิ้น

กิเลสตัณหาเหล่านี้ส่งผลให้ รอคกี้เฟลเลอร์ เป็น “ผู้ที่มีคนเกลียดชังมากที่สุดในโลก”ถึงขนาดต้องมีองครักษ์คอยพิทักษ์ชีวิตของเขามาแล้ว

       กระทั่ง รอคกี้เฟลเลอร์ ต้องเผชิญหน้ากับ ความเจ็บป่วยปางตายเมื่ออายุเขาได้ 53 ปี สุขภาพของเขาเสื่อมโทรมมาก  เพราะอุปนิสัยไร้สุขขี้เหนียวขี้ตืดขี้โมโหของเขานั่นเอง

       เขานอนไม่หลับ ป่วยเป็นโรคเครื่องย่อยอาหารพิการอย่างรุนแรง จิตใจของเขาสุมอยู่ด้วยความทุกข์ร้อนกระสับกระส่าย จนผมร่วง หัวล้าน ขนตาและที่อื่นๆ ก็ร่วง  

 แพทย์ ได้บอกความจริงกับเขาว่า ขอให้เขาเลือกเอาอย่างหนึ่ง คือ ธุรกิจการเงินหรือชีวิต และจะต้องตัดสินใจเลือกอย่างรวดเร็วด้วย ถ้าเขาเลือกเอาชีวิตไว้ ขอให้เลิกงานด้านธุรกิจอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน

 
         รอคกี้เฟลเลอร์ เลือกเอาชีวิตตนเองไว้ หยุดงานธุรกิจ หันมาสนใจเรื่องของเพื่อนบ้าน เล่นกีฬาในร่มเล็กๆ น้อยๆ และมีเวลาเหลือเฟือที่จะคำนึงถึงสิ่งต่างๆ

เขาเริ่มคิดถึงผู้อื่น เลิกคิดถึงเรื่องการกอบโกยเงิน

เขากลับคิดใหม่ว่า เขาจะต้องใช้เงินจำนวนสักเท่าใด จึงจะสามารถสร้างความสุขให้ปวงมนุษย์ในโลกได้

            ในที่สุดเขาได้เปลี่ยนชีวิตของเขาจากความหน้าเลือดเห็นแก่ได้เอารัดเอา เปรียบมาเป็นผู้เสียสละ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อความสุขของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ยอห์น. ดี. รอคกี้เฟลเลอร์ ผู้ซึ่งกำลังจะตายเมื่ออายุ 53 ปี กลับเป็นผู้มีอายุยืนยาวถึง 98 ปี ได้อย่างน่าอัศจรรย์

เขากลายเป็นผู้มีความสุขความสงบแห่งจิตใจ

เขาเปลี่ยนคนเกลียดชังให้รักใคร่เขาได้ทั้งโลก เพราะเขาเปลี่ยนแปลงแนวคิด การกระทำของเขาให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ทำความดีและเพิ่มพูนความดีอยู่เรื่อยๆ

            นักธุรกิจ นักการเมือง นักปกครอง ข้าราชการ และเพื่อนมนุษย์ที่รักทั้งหลาย มีตาก็จงดู มีหูก็จงฟัง โปรดไตร่ตรองเอาเองเถิดว่า...

ท่านจะจัดการกับวิถีชีวิตแห่งตนเพื่อประโยชน์สุขของเพื่อนมนุษย์อย่างไร
                                                                                       (ขอบคุณข้อมูลจาก กลุ่มคนจุดตะเกียง+PAD N.E.)

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผู้อยากเป็นใหญ่ ต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น


“เต็กเฮงหยู” ชีวิตนี้เพื่อผู้อื่น
ที่มา:ศูนย์พัฒนาการเด็กพิการ บ้านสิทธิดา

          คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่มีสิทธิ์เลือกที่จะเป็นนั่นเป็นโน่นเป็นนี่ เพื่อมีตำแหน่งหน้าที่ มีอำนาจบารมีมีรายได้ได้ ทว่าจะประสบความสำเร็จ สมหวังดังตั้งใจหรือไม่นั้น ไม่แน่เสมอไป

            อย่างที่พระท่านว่า  มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ดีชั่วอยู่ที่ตัวกระทำ ตามหลักโลกธรรม 8 ฉันใดก็ฉันนั้น 
                      
            คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้ เลือกที่จะมีชีวิตเพื่อผู้อื่นได้

            ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี,รัฐมนตรี เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ,ส่วนตำบล หรือ(กำลังจะ) เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(สอบจ.) เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูอาจารย์ เป็นข้าราชการ ทหารตำรวจ เป็นพ่อค้านักธุรกิจ ฯลฯ

            ทุกคนสามารถเป็นคนดี และ เลือกที่จะมีชีวิตเพื่อผู้อื่นได้อย่างแน่นอน

            ถ้าคุณมุ่งมั่นตั้งใจ และทำจริง แบบ “เต็กเฮงหยู” (ชื่อแรกของบริษัทโอสถสภา จำกัด)
            “เต็ก” หมายถึง คิดถึงบุญคุณ
            “เฮง” หมายถึง ความดีงาม
            “หยู” หมายถึง ยั่งยืนยาวนาน

            ซึ่ง คุณรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทโอสถสภา จำกัด ให้ความหมายไว้ว่า “เจริญโดยการช่วยเหลือผู้อื่น”

            เหมือนคุณ ตัน ภาสกรนที เจ้าของสแกน “ตันไม่ตัน” เจ้าของกิจการอิชิตันมูลค่าหลายพันล้านบาท

             เจ้าของมูลนิธิตันปัน “ผู้ที่ยิ่งให้ ยิ่งแบ่งปัน ก็ยิ่งได้”

            คุณตัน ยากจนและล้มเหลวในการเริ่มต้นทำธุรกิจมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คุณตันไม่เคยละทิ้งคำว่า “ให้-แบ่งปันและกตัญญู”ต่อผู้มีอุปการคุณ  ไม่ว่าในยามทุกข์ยากแสนเข็ญ หรือมั่งมีศรีสุข 

            เหมือนกับบริษัทโอสถสภา จำกัด ที่ไต่เต้ามาจากร้านขายยาเล็กๆชื่อ “เต็กเฮงหยู”ย่านสำเพ็ง กรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2434  เริ่มจากตึกคูหาเดียว มีพนักงาน 5 คน 

            ผ่านไป 120 ปี “เต็กเฮงหยู” กลายเป็น “บริษัทโอสถสภา จำกัด” มีพนักงานกว่า 3 พันคน มูลค่าสินทรัพย์และธุรกิจหลายพันล้านบาท

            ที่เป็นไปเช่นนี้ได้  ก็เพราะ ผู้บริหารโอสถสภาทุกรุ่นทุกคน มีเป้าหมาย คือ ทำให้คนไทยมีชีวิตที่ดีกว่า (รัตน์ โอสถานุเคราะห์)

            ทุกผู้คนที่เจริญเติบโต มีชื่อเสียงอยู่ได้ ส่วนใหญ่ได้มาจากการช่วยเหลือผู้อื่น(นฤตย์ เสกธีระ,มติชน)

            มาถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกบรมครูของโลก บรรดานักบุญทั้งหลาย ว่านวงศ์พงศ์กษัตริย์ รัฐบุรุษ  วีรบุรุษวีรสตรี  ปูชนียบุคคล ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ “เจริญชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น สังคมและชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น”

            ทำให้ผมระลึกถึง คำสอนของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า “ให้รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”ให้รักแม้กระทั่งศัตรู  และพระองค์ได้กระทำจริง เพื่อเป็นแบบอย่าง แม้กระทั่ง “การสละชีวิตของตน” 

            การเป็นผู้ที่ยอมแพ้ ยอมสละแม้ชีวิต และดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรัก รับใช้ ให้อภัยและแบ่งปันอย่างสุดจิตใจสุดกำลัง ทำให้พระองค์กลับกลายเป็น “พระเจ้าของทุกคน” แม้ถือกำเนิดในรางหญ้า คอกปศุสัตว์ ในครอบครัวของช่างไม้ที่ยากจน

            การมีชีวิตเพื่อความดีงาม การเจริญชีวิตเพื่อผู้อื่น นี่เกิดแก่ใครก็ล้วนงดงาม และควรแก่การสรรเสริญยิ่ง จริงๆครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สำหรับพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้


รูปแม่พระปฏิสนธินิรมล


อัศจรรย์แม่พระ....
                   ไม่เชื่อ ต้องพิสูจน์
            ในโลกปัจจุบัน ทุกอย่างเป็นจริงได้เพราะวิทยาศาสตร์ ดาวศุกร์เพิ่งจะโคจรผ่านหน้าดวงอาทิตย์ไป เราก็สามารถคำนวณได้ ทั้งระยะเวลาและวงโคจรว่าจะกลับมาปรากฏให้เห็นอีกใน 100 ปีข้างหน้า แต่สิ่งที่อัลเบิร์ต ไอสไตน์ สุดยอดนักวิทยาศาสตร์โลก เคยกล่าวไว้ว่า “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” ก็เป็นสิ่งที่เราต้องพิสูจน์มาโดยตลอดและเป็นความจริงที่ว่า มีการค้นพบปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอีกมากมายที่เกินกว่าสติปัญญาของมนุษย์จะหยั่งถึง

เรื่องราวความฝันที่เป็นจริงอย่างเหลือเชื่อของ นางสุวรรณ  ห้วยหงษ์ทอง พนักงานทำความสะอาดโรงเรียนบอสโกพิทักษ์ ต.โพรงมะเดื่อ อ.เมือง จ.นครปฐม ปัจจุบัน อายุ 43 ปี นับถือศาสนาพุทธ พักอาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 74/1 หมู่ 10 ต.หนองปากโลง อ.เมือง จ.นครปฐม  อาจเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้

 ความฝันครั้งแรกของคุณสุวรรณเกิดขึ้น ช่วงปลายเดือนเมษายน ประมาณวันที่ 21 เม.ย. คุณสุวรรณเล่าว่า ในเวลาช่วงพักงานตอนกลางวันหลังรับประทานอาหารเธอพักนอนงีบอยู่ที่ศาลาเรือนไทย บริเวณหน้าอาคารริชาร์ด โรงเรียนบอสโกพิทักษ์ ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ พลันได้ยินเสียงผู้หญิงที่ก้องกังวาน น้ำเสียงนุ่มนวล ไพเราะ บอกคุณสุวรรณว่า “เธอฉันอยู่นี่มานานแล้วนะ...อยู่นานแล้ว”
คุณสุวรรณจึงถามว่า “แล้วเธอเป็นใครอยู่ที่ไหนล่ะ...เธอบอกฉันทำไม”
เสียงผู้หญิงในฝันบอกว่า “ฉันอยากออกไป”
คุณสุวรรณถามว่า “ทำไมไม่ไปบอกพี่น้องเธอล่ะ...ให้เขามาพาออกไป”
ผู้หญิงในฝันยังไม่ทันตอบว่ากระไร  คุณสุวรรณรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากความฝันเสียก่อน และก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าของเสียงอีกด้วย

อีกสองสัปดาห์ต่อมา ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ราวๆวันที่ 5 พฤษภาคม คุณสุวรรณก็ฝันคล้ายกันในลักษณะเดิมอีก ในฝันได้ยินเสียงสุภาพตรีที่ก้องกังวาน น้ำเสียงนุ่มนวล ไพเราะ แต่ไม่ปรากฎให้เห็นหน้าตาเช่นเดิม กล่าวกับคุณสุวรรณว่า “ฉันอยู่ที่นี่จริงๆนะ...เธอพาฉันออกไปทีสิ”
คุณสุวรรณจึงตอบว่า “เธอบอกมาสิว่าเธออยู่ที่ไหน”
เสียงผู้หญิงในฝันตอบกลับมาว่า “เราเห็นเธอทุกวันเลยนะ”
 “เธอเห็นฉันทุกวันแล้วทำไมเธอไม่เรียกฉันล่ะ” คุณสุวรรณถาม
เสียงในฝันตอบว่า “เธอไม่ได้ยินฉันเอง”
คุณสุวรรณจึงย้ำว่า “ถ้าเธอไม่บอกว่าเธออยู่ที่ไหน...ฉันก็ไม่รู้นะ...ทำไมเธอไม่บอกละว่าเธออยู่ที่ไหน”
ยังไม่ทันได้ยินเสียงตอบอะไร คุณสุวรรณก็รู้สึกว่า เหมือนใครเอามือมาดึงขา จึงสะดุ้งตื่นและคิดว่า คงมีเพื่อนคนงานด้วยกันมาแกล้ง แต่มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมีใคร คุณสุวรรณเล่าด้วยท่าทีตื่นเต้นว่า ชักรู้สึกกลัวๆขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกัน ที่ในฝันได้สนทนากับผู้หญิงคนนี้ถึงสองครั้งโดยไม่เห็นหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใคร

ขณะที่คุณสุวรรณเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ในวันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคมในช่วงเวลาพักงานตอนกลางวัน คุณสุวรรณเลี่ยงไปนอนพักผ่อนที่หน้าห้องเรือนพยาบาล อาคารชีวกโกมารภัจจ์ ในความฝันครั้งนี้ คุณสุวรรณได้ยินเสียงผู้หญิงเหมือนกับความฝันสองครั้งที่ผ่านมาอีกครั้ง เสียงนั้นบอกคล้ายกับขอร้องว่า “จริงๆนะ เธอผ่านฉันทุกวันเลย เธอเปิดดูฉันสิ” คุณสุวรรณกำลังคิดจะถามตอบกลับไปก็เผอิญสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงรถจักรยานยนต์ที่คุณสำอาง ศรีสรรพางค์ เพื่อนคนงานขี่ผ่านมา

คุณสุวรรณนั่งทบทวนความฝันด้วยของตนเองด้วยความรู้สึกสับสนว่า ใครกันแน่นะ ที่มาปรากฏในความฝันของเธอถึงสามครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร  ส่วนอีกใจหนึ่งก็คิดไปว่าตนเองอาจจะดูหนังดูข่าวดูละครมากไปจึงเก็บเอามานอนฝัน

เมื่อถึงเวลาเข้างานช่วงบ่าย คุณสุวรรณขึ้นไปทำความสะอาดที่บริเวณหน้าห้องฟิสิกส์ ชั้น 5  อาคารริชาร์ดตามปกติ ขณะที่กวาดพื้นเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังจะเดินกลับ เพื่อไปทำความสะอาดในบริเวณอื่นต่อ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นไขควงอันหนึ่งตกอยู่ที่ใต้ชั้นวางรองเท้าของนักเรียนที่ตั้งวางไว้อยู่บริเวณหน้าห้องโดยบังเอิญ คุณสุวรรณก้มลงเก็บขึ้นมา แล้วเอาใส่ไว้ในกระเป๋าผ้าคาดกันเปื้อน พลางคิดในใจว่า ใครเอามาทิ้งไว้นะ ในช่วงเวลานั้น คุณสุวรรณกำลังเดินผ่านห้องเก็บบริเวณหน้ามุขของอาคาร ก็เกิดแรงดลใจให้ใช้ไขควงไขประตูโดยแทบไม่รู้สึกตัวว่าคิดอะไรอยู่....

ความรู้สึกตัวกลับมาอีกทีก็ตอนที่เปิดประตูห้องไปแล้วเห็นเป็นใบหน้าของสุภาพสตรีตะแคงหน้ามองมายังเธอ......ปัง!......คุณสุวรรณดึงประตูปิดทันที ภาพความฝันเสียงผู้หญิงซ้ำๆที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอผุดขึ้นมาในความคิดทันที
คุณสุวรรณ ห้วยหงษ์ทอง

ตลอดวันนั้นและอีกสองวันต่อมา คุณสุวรรณเล่าว่า เธอไม่มีความสุขในการทำงานเลย รู้สึกร้อนรุ่มกลุ้มใจอย่างไรก็บอกไม่ถูก จะเอ่ยปากบอกใครก็ไม่กล้าเพราะไม่ใช่หน้าที่อะไรที่จะต้องไปเปิดประตูห้องเก็บของดู และใครเล่าจะเชื่อในสิ่งที่เธอฝัน แต่ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจสอบถาม  นายกิตติภรณ์ (แม็ก) โสทน หัวหน้าคนงานของโรงเรียนบอสโกพิทักษ์ว่า       “น้าแม็กๆ วิญญาณ “แม่พระ”นี่มีจริงหรือไม่?” นายกิตติภรณ์จ้องมองหน้าเธอและตอบว่า “มีจริงสิ ถามทำไมหรอ?” เท่านั้นแหละ เรื่องราวและความรู้สึกที่เก็บไว้ในใจอยู่หลายวันก็พรั่งพรูออกมาจนหมด ชนิดที่เล่าไปขนลุกไป

นายกิตติภรณ์นำเรื่องดังกล่าวของคุณสุวรรณไปเล่าให้ซิสเตอร์ ดร.อรชร กิจทวี ผู้อำนวยการโรงเรียนบอสโกพิทักษ์ฟังด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน จากนั้นจึงพากันไปที่ห้องเก็บของชั้น 5 ดังกล่าว แล้วให้เปิดประตูพิสูจน์ดู....ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนในเวลานั้นก็คือรูปปั้นไฟเบอร์กลาสที่ชาวคาทอลิกคุ้นเคยดีและเรียกว่า “รูปแม่พระปฏิสนธินิรมล”ถูกเศษวัสดุสิ่งของวางทับไว้เห็นแต่ใบหน้าที่ด้านหนึ่งพิงติดกับผนังห้องจนปรากฏเป็นรอยถลอกที่บริเวณหางคิ้วซ้าย ตะแคงหน้ามองมายังทุกคน

ซิสเตอร์อรชร กิจทวี จึงให้คนงานช่วยกันนำสิ่งของที่วางทับอยู่ออกและอัญเชิญรูปแม่พระปฏิสนธินิรมล มาตั้งไว้ที่ในห้องทำงานของท่าน แล้วการไล่เรียงประวัติความเป็นมาของรูปแม่พระองค์นี้ก็เริ่มต้นขึ้น

จากคำบอกเล่าของครู บุคลากรในโรงเรียนหลายท่านพูดตรงกันว่า รูปแม่พระองค์นี้เดิมเคยประดิษฐานไว้ในห้องประชุมครูชั้น 5 ของอาคารริชาร์ด ใกล้กับห้องเก็บของที่พบรูปนั่นเอง แต่กลับไม่มีใครแน่ใจว่ารูปแม่พระองค์นี้ถูกใครเก็บเข้าไปทิ้งไว้ในห้องเก็บของตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็อาจประมาณเวลาได้คร่าวๆว่า น่าจะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของมาเป็นเวลานานกว่า 5 ปีขึ้นไป เพราะหลังจากที่มีการสร้างห้องประชุม 60 ปี ที่ชั้นล่างของอาคารริชาร์ด  เพื่อใช้ประชุมครูแล้ว ก็ไม่มีใครคิดถึงรูปแม่พระองค์นี้อีกเลย


จนกระทั่งแม่พระต้องออกมาเรียกคุณสุวรรณ ให้ไปช่วยนำท่านออกมาจากห้องที่อับทึบและถูกทับถมด้วยเศษสิ่งของต่างๆ

ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริงแล้วอย่างเหลือเชื่อ นายมงคล ทัฬหะกุลธร นายกสมาคมศิษย์เก่า ผู้ปกครอง และครูโรงเรียนบอสโกพิทักษ์ โทรศัพท์มาพูดคุยเรื่องนี้กับผม ในเช้าของวันที่ 4 มิถุนายน สิ่งที่คุณมงคลบอกกับผมก็คือว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่จะเล่ากันสนุกๆหรือเสริมแต่งกันขึ้นมาตามใจตนเอง แต่เท่าที่คุณมงคลได้ลองตรวจสอบและพูดคุยกับคุณสุวรรณด้วยตนเอง พร้อมกับสัตบุรุษวัดพระตรีเอกภาพ หนองหิน อีกหลายท่านที่มาร่วมในงานฉลองวัดและสมโภชพระตรีเอกภาพ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายนแล้วก็น่าเชื่อได้ว่า “แม่พระปฏิสนธินิรมล”ได้เลือกที่จะสื่อสารและเรียกให้คุณสุวรรณช่วยเหลือท่านเป็นพิเศษ ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณครูสายหยุดและคุณครูวุฒิศักดิ์ ศิริวรศิลป์ ผู้อาวุโสของวัดก็พูดในทำนองเดียวกันนี้

ส่วนในมุมมองของผมสำหรับเรื่อง “อัศจรรย์ของแม่พระ”นั้น ผมไม่ได้แค่เชื่อเพียงอย่างเดียวแต่บ้านที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ที่ ม.2 ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ก็ใช้ชื่อว่า “บ้านแม่พระอุปถัมภ์”ด้วย ส่วนเรื่องราวที่มาของชื่อบ้านและปรากฏการณ์ที่ผมได้สัมผัสด้วยตนเองนั้นจะยังไม่ขอเล่าในตอนนี้

แต่อยากจะเชิญชวนให้ทุกท่านลองไต่ตรองดูทีว่า ถ้า “แม่” ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตและมีพระคุณต่อลูกประเสริฐยิ่งกว่าใครในโลกนี้ เมื่อยามแก่ชรา หรือเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างทุกข์ทรมานและเดียวดาย  ด้วยความละเลยไม่เอาใจใส่ดูแลของลูกหลานและสังคมแล้ว...อะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและสังคมโลกนับต่อจากนี้ไป

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

โกงปราบได้(จริง) ถ้านายกเป็นผู้นำ


    
รองฯเฉลิมปราบยา...นายกปูปราบโกง...
เรื่อง“หมาเฝ้าบ้าน”...จึงมีคุณค่า

      
         ต้องขอปรบมือให้กับท่าน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ทำท่าปึ๋งปั๋งประกาศสาวไส้ขบวนการโกงสอบคัดเลือกเข้าเป็นนายสิบตำรวจให้ได้ยกแก๊ง  

          ตามมาด้วยการลงดาบ “ผู้ทุจริตการสอบ” และ  “ผู้ที่สุจริตในการสอบ”ด้วย

           โดยการประกาศให้การสอบครั้งนี้เป็นโมฆะ โดยอ้างว่าเพื่อความสง่างามแต่แรกของผู้ที่จะเข้ามาเป็นตำรวจ 

           ถึงแม้สังคมและสื่อมวลชน จะมองว่าการลงดาบครั้งนี้จะ “ไม่ค่อยเป็นธรรม”กับผู้สุจริตในการสอบกว่าสองแสนคนเท่าไรนัก

          แต่ก็ไม่ถึงกับคัดค้านต่อต้าน หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรรุนแรง แสดงให้เห็นถึงท่าทีของการยอมรับ และความปรารถนาที่จะเห็นตำรวจเอาจริงเอาจังกับการโกง

          และเติบโตไปเป็น “ตำรวจที่ไม่โกง” ไม่ซื้อขายตำแหน่ง ไม่รับสินบน ไม่ทำตัวเป็นโจรปล้นแบงก์ หรืออุ้มฆ่า ค้ายาบ้า ตั้งศาลเตี้ยรีดไถผู้กระทำผิดกฎจราจร เป็นต้น

        เฉกเช่นเดียวกับ ฯพณฯรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่นำขบวนตำรวจปราบยาเสพติด จนมีชื่อเสียง(ทางบวก)เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่แพ้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศทำสงครามกับยาเสพติด จนได้รับเสียงปรบมือจากชาวบ้านดังกระหึ่ม

          ถึงแม้ว่าจะมีข้อตำหนิเกี่ยวกับการฆ่าตัดตอน ยิงผิดตัว จับมั่ว รัวตู้เย็น อยู่บ้าง

          แต่เมื่อมองภาพโดยรวมก็ต้องยอมรับว่า สังคมไทยเห็นด้วยในการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริต และยาเสพติด

          เพราะ “การโกงและยาเสพติด”ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเภทภัยต่อความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง ถึงขั้นสิ้นชาติ เสียเอกราชกันทีเดียวเชียว

        เห็นได้ชัดจากประวัติศาสตร์ชาติไทยในอดีต   อาทิเช่น การขายตัวเป็นหนอนบ่อนไส้เปิดประตูให้ข้าศึกเข้าตีเมือง การขายสมบัติของชาติ การทุจริตเชิงนโยบายการโกงกินงบประมาณแผ่นดิน ฯลฯ มีการคอรัปชั่นโกงกินกันทุกรูปแบบในทุกวงการของประเทศไทย

          ไม่เว้นแม้แต่วงการพระสงฆ์องค์เจ้าที่เป็นต้นแบบด้านศีลธรรมคุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น เรื่องขบวนการทุจริตเครื่องราชอิสริยาภรณ์  หรือ แอบแฮ๊บเงินวัดไปบำรุงบำเรอกิเลสตัณหา กามา-สีกาก็มีเป็นข่าวให้เห็น

            ที่สำคัญและน่าวิตกห่วงใย คือ บางพวกบางตอนของสังคมไทยกำลังจะยอมรับค่านิยม “โกงบ้างไม่เป็นไร แต่ขอให้มีผลงาน”

          หรือพูดภาษาบ้านๆว่า เอ็งจะโกงก็โกงไป แต่ขอให้จัดสรรประโยชน์ให้ข้าบ้างก็แล้วกัน หรือ เอ็งเอาหมูไป เอาไก่มาให้ข้า ต่างคนต่างได้ บ้านเมืองฉิบหายช่างมัน

          และที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ค่านิยมการโกง การทุจริตเชิงนโยบาย แบบเมกกะโปรเจ็กต์ร้อยล้านพันล้าน ยิ่งทำโครงการพัฒนายิ่งใหญ่เท่าไร ยิ่งโกงง่ายโกงได้มาก แต่จับได้ยาก

          เพราะมีความซับซ้อนทั้งในด้านขั้นตอนงบประมาณ ผู้เกี่ยวข้อง เทคนิคและระยะเวลา

          ดังนั้น เมื่อนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ยิ่งก่อสร้าง ยิ่งซื้อที่ดิน ยิ่งตัดถนน ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งรวย แถมมีผลงานเป็นที่ประทับใจชาวบ้านอีกด้วย

          ส่วนที่ฯพณฯท่าน นายก อบจ. นายกเทศมนตรี สมาชิกสภา ทั้งหลายโกงกินไปเท่าไร ชาวบ้านไม่รู้ ตามไม่ทัน คิดไม่ทัน หรือถึงรู้แต่ก็ช่างเถอะ เพราะ“โกงบ้างไม่เป็นไร แต่ขอให้มีผลงาน” นี่แหละ

          แต่จะปล่อยบ้านเมืองเป็นไปอย่างนี้คงไม่ได้ เพราะเมื่อถึงวันหนึ่งประชาชนที่เป็น “สุจริตชน” เป็นพลเมืองดี เป็นประชากรของประเทศและเป็นองค์ประกอบของรัฐชาติ ก็คงถูกลงดาบลงโทษ ให้พินาศ ตกต่ำล่มสลายไปพร้อมกับชาติเป็นแน่แท้

          หากจะปล่อยให้นักการเมืองและพวกทุจริต โกงบ้านโกงเมือง ทำอะไรกันได้ตามใจชอบ โกงกินกันง่ายๆสบายๆ

        ผมขอเรียกร้อง ให้ ฯพณฯท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมายืนแถวหน้าเป็นผู้นำในการปราบปรามพวกทุจริตคอรัปชั่น โกงกินแผ่นดิน ในวงการเมืองทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ในวงการราชการ

          และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชน ภาคประชาชนจอมปลอม ที่ถูกวางให้เป็นกลไกและเครื่องมือในการตรวจสอบทุจริต แต่กลับทำตัวเป็นเครื่องมือและกลไกในการทุจริตคอรัปชั่นให้นักการเมืองและข้าราชการเสียเอง 

          อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ปปช. หรือ ปปง.ไปงมเข็ม-งัดข้อ ช่วงปลายน้ำหลังมีการโกงเกิดขึ้นแล้วเลยครับ เพราะมันได้ผลน้อย และหยุดการคอรัปชั่นไม่ได้จริง

          ถ้าจะทำให้เห็นผลจริง หยุดโกงได้จริง ได้ผลชะงัดนัก ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องเอาแบบอย่าง ท่านผบ.ตร.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ต้องเอาอย่าง ฯพณฯรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หรืออดีตท่านนายกทักษิณ ชินวัตร ในด้านการเป็นผู้นำปราบปรามยาเสพติดก็ได้

          อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเอาจริง ทำจริงเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและประชาชนจริงๆ ทำให้ “หมาเฝ้าบ้าน”ทุกส่วนทุกแขนงมีคุณค่าขึ้นมาจริง ไม่ใช่ของปลอมหลอกกินไปวันๆ